ทัศนะเกี่ยวกับการศึกษา
ของพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต)
: วิเคราะห์จากหนังสือ ทางสายกลางของการศึกษาไทย
พระมหาสมจินต์
สมฺมาปญฺโญ
ป.ธ. ๙, พธ.ม., Ph.D.
รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
ความนำ
ยุคในระหว่างประมาณปีพุทธศักราช
๖๐๐-๙๐๐ ถือเป็นยุคทองแห่งวรรณกรรมพระพุทธศาสนามหายานในอินเดีย เพราะนักปราชญ์ฝ่ายมหายานหลายท่านมีชีวิตอยู่ในยุคนี้
ไม่ว่าจะเป็นท่านศรีโฆษะ ท่านกัจจายนียบุตร ท่านอัศวโฆษะ ท่านอสังคะและวสุพันธุ
ส่วนยุคทองแห่งวรรณกรรมพระพุทธศาสนาเถรวาทในอินเดียนั้น ยุคแรกก็น่าจะเป็นยุคของท่านพระมหาโมคคัลลานเถระ
ท่านพระมหากัจจายนเถระ และท่านพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ และต่อมาก็เป็นยุคของท่านพระพุทธทัตตะ
ท่านพระพุทธโฆสะ พระธรรมปาละ ประมาณปีพุทธศักราช ๙๐๐ เพราะมีวรรณกรรมใหม่
ๆ ทางพระพุทธศาสนาเถรวาทเกิดขึ้นมาก นี่เป็นเพียงความเห็นที่วิเคราะห์จากตำราที่ศึกษากัน
ไม่ได้ประจักษ์ด้วยสายตาตัวเอง
ในยุคตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๕๑๐-ปัจจุบัน
ถือได้ว่าเป็นยุคทองแห่งวรรณกรรมพระพุทธศาสนาเถรวาทในเมืองไทยสมัยรัตนโกสินทร์
เพราะมีนักปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาเถรวาทที่เป็นคนไทยได้สร้างสรรค์งานเขียนไว้มิใช่น้อย
กล่าวเฉพาะปัจจุบัน ที่มีพระเดชพระคุณพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต)
เป็นต้นเป็นประธาน ได้สร้างสรรค์งานเขียนทางพระพุทธศาสนาไว้จำนวนมาก
ที่ปรากฏรายชื่อตามที่พระครูปลัดปิฎกวัฒน์ได้รวบรวมไว้ล่าสุด มีจำนวน
๑๖๗ เรื่อง
ผู้เขียนได้เริ่มศึกษางานของพระธรรมปิฎก
(ป.อ.ปยุตฺโต) อย่างจริงจังในปีพุทธศักราช ๒๕๓๑ เมื่อเข้าศึกษาในระดับปริญญาโท
ที่บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ก่อนหน้านี้
สมัยที่เรียนบาลีอมรมศึกษา ณ วัดสระเกศ หรือแม้แต่ขณะที่ศึกษาระดับปริญญาตรี
ยังไม่ได้ศึกษางานของพระเดชพระคุณอย่างจริงจัง เพราะสาเหตุ ๒ ประการ
คือ (๑) พื้นฐานทางวิชาการยังไม่ถึงขั้นที่จะศึกษาให้เข้าใจได้ (๒)
ไม่มีเหตุปัจจัยที่จะช่วยเสริมให้ศึกษา สาเหตุทั้ง ๒ ประการนี้ ทำให้พลาดโอกาสที่จะสร้างภูมิปัญญาให้แก่ตัวเองเป็นเวลาเกือบ
๑๐ ปี
ผู้เขียนเข้าใจว่า มีเพื่อนสหธรรมิกหลายท่านที่ได้ศึกษางานของพระเดชพระคุณอย่างจริงจังในเมื่อเข้าศึกษาระดับปริญญาโทที่บัณฑิตวิทยาลัย
มจร. การที่ได้ศึกษางานของพระเดชพระคุณอย่างจริงจัง ถือเป็นการเปิดโลกทัศน์ของผู้เขียนในแนวใหม่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
เพราะผลงานทุกเรื่องของพระเดชพระคุณจัดเป็นงานเขียนเชิงสร้างสรรค์ที่ผ่านการกลั่นกรองจากภูมิปัญญาที่ลึกซึ้ง
มีคุณภาพระดับวรรณคดีบาลีประเภท "อัตโนมัติ" ที่ผู้เขียนกล่าวอย่างนี้
เพราะมีตัวอย่างการแบ่งระดับวรรณคดีบาลีที่พระอรรถกถาจารย์จัดเอาไว้
เพื่อตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อความเกี่ยวกับพระวินัย ๔ ระดับ
คือ
(๑) สูตร คือบาลีในพระวินัยปิฎกทั้งหมด
(๒) สุตตานุโลม คือ มหาปเทส
๔ ใช้เป็นหลักอ้างอิงความถูกผิดเมื่อไม่มีพุทธบัญญัติกำหนดไว้โดยตรง
(๓) อาจริยวาท คือ คัมภีร์อรรถกถาทั้งหลาย
ที่พระอรหันต์ผู้ร่วมปฐมสังคายนาได้ตั้งเป็นมาตรฐานไว้
(๔) อัตโนมัติ คือ ข้อความที่กล่าวอธิบายพระวินัย
โดยถือตามนัยที่ปรากฏในคัมภีร์อรรถกถาทั้งหลายเป็นข้อเขียนคำอธิบายของนักปราชญ์ที่อ้างอิงคัมภีร์อรรถกถา
ฏีกา
งานเขียนหรือวรรณกรรมใดก็ตามที่จัดอยู่ใน
๔ ระดับนี้ ถือเป็นแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ งานเขียนของพระเดชพระคุณก็มีลักษณะอย่างนี้
คือสามารถใช้เป็นหลักฐานอ้างอิงได้ในทุกกรณี แนวความคิดของพระเดชพระคุณโดยเฉพาะด้านการศึกษา
มีอิทธิพลต่อสังคมไทยมาก นักการศึกษาไทยปัจจุบันล้วนแต่ยึดแนวความคิดของพระเดชพระคุณเป็นแม่แบบในการพัฒนาทฤษฎีทางการศึกษาที่เป็นของไทย
ในอดีต นักการศึกษาไทยหลายท่านแม้จะรู้ทฤษฎีการศึกษาดี แต่ก็ตีความทฤษฎีผิด
ทำให้เกิดประยุกต์ใช้กับสังคมไทยอย่างผิด ๆ จนทำให้ประเทศดำเนินนโยบายทางการศึกษาไม่ถูกทางนัก
นักการศึกษาทุกคนรู้ว่า จุดประสงค์ของการศึกษาคือ เพื่อพัฒนาคนทั้งด้านพุทธิปัญญา
อารมณ์ สังคม และเจตคติ แต่เวลาประยุกต์ใช้ในการจัดการศึกษา กลับมุ่งจะให้ผู้เรียนจบการศึกษา
มีวุฒิบัตร มีปริญญา และเมื่อได้ศึกษาเพิ่มเติมถึงระดับสูงสุดก็กลายเป็นพวกแก่ตำรา
เกาะติดทฤษฎี เป็นพวก Dogmatists ทำให้เกิดปัญหาแปลก ๆ ขึ้นในกลุ่มของพวกมีปริญญาโดยเฉพาะ
ปัญหาแปลก ๆ ที่เห็นได้ชัดมี ๒ ประการ คือ
(๑) ความคิดที่เกาะติดกับทฤษฎี
(๒) ความคิดแปลกแยกจากสังคมที่เคยอยู่
อู่ที่เคยนอน
ปัญหาประการที่ ๑ เห็นได้ชัดเจน
คือ เวลาเกิดปัญหาขึ้น ไม่ว่าจะเป็นปัญหาส่วนตนหรือปัญหาสังคม สังคมไทยมีคนจบปริญญาเอกมาก
แต่แก้ปัญหาไม่ค่อยได้ เพราะมัวแต่มุ่งที่จะนำทฤษฎีมาแก้ปัญหา เพราะลืมความจริงข้อหนึ่งว่า
ปัญหาของมนุษย์มีมากและซับซ้อน ในสังคมหนึ่ง มนุษย์หนึ่งคนก็มีหนึ่งปัญหา
มนุษย์สิบคนก็มีสิบปัญหา มนุษย์ร้อยคนก็มีร้อยปัญหา ทฤษฎีในโลกปัจจุบัน
แม้จะมีมากเพียงใดแต่คงมีไม่มากเท่ากับปัญหาของมนุษย์ ถ้ามุ่งแต่จะนำทฤษฎีมาแก้ปัญหามนุษย์อย่างเดียว
ต้องสร้างทฤษฎีขึ้นมาให้มีจำนวนเท่ากับจำนวนมนุษย์
ปัญหาประการที่ ๒ คือ ความคิดแปลกแยกจากถิ่นที่ตนเคยอยู่
อู่ที่เคยนอนนี้แหละ เป็นปัญหาโลกแตกในปัจจุบัน มันขัดแย้งตรงกันข้ามกับนโยบายที่จะขยายโอกาสทางการศึกษาให้ทั่วถึง
ภาษาอังกฤษจะเรียกว่า Contradiction, Contradistinction, หรือ Paradoxical
ก็แล้วแต่เถอะ แต่ภาพที่ปรากฏในปัจจุบันมันขัดกัน กลายเป็นว่า คนที่ไม่มีการศึกษาเข้าสังคมได้
คนที่มีการศึกษา มีปริญญาเข้าสังคมยาก
ปัจจุบัน นักการศึกษาไทยได้สำนึกตระหนักถึงความจริงนี้แล้ว
จึงได้จัดทำโครงการชื่อ "การศึกษาไทยในยุคโลกาภิวัตน์"
ซึ่ง ดร.สิปปนนท์ เกตุทัต เป็นประธาน มีนักการศึกษาไทยหลายท่านเป็นกรรมการ
ท่านเหล่านี้ได้วางกรอบการดำเนินงานโดยอาศัยแนวความคิดของพระธรรมปิฎกเสนอไว้ตั้งแต่ปีพุทธศักราช
๒๕๓๐ ณ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เห็นได้จากวัตถุประสงค์ของโครงการ
และกรอบการนำเสนอข้อมูลข่าวสาร มุ่งที่จะให้คนแต่ละท้องถิ่นศึกษาวิชาการ
๒ ส่วนไปพร้อมกัน คือ (๑)วิชาการพื้นฐานทั่วไปที่คนทั่วประเทศจะมีโอกาสศึกษาเหมือนกันหมด
เช่น ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ เลขคณิต (๒)วิชาการที่เป็นเรื่องของท้องถิ่นที่ตัวเองอาศัยอยู่
ซึ่งเมื่อจบการศึกษาแล้ว สามารถใช้ชีวิตอยู่ในท้องถิ่นนั้นได้
พระเดชพระคุณพระธรรมปิฎกได้กล่าวไว้ชัดในเรื่องนี้ว่า
"...ผลจากการศึกษาที่ผ่านมาแล้วอย่างหนึ่ง คือ การทำให้เด็กแปลกแยกจากชุมชนของตน
แปลกแยกจากท้องถิ่นของตนเอง ยิ่งเรียนไปยิ่งกลายเป็นนอกชุมชน..."
ผู้เขียนจะได้วิเคราะห์เรื่องนี้ในภายหลัง ในเบื้องต้นนี้ จะขอ กล่าวถึงเฉพาะเรื่องที่ผู้เขียนแม้จะไม่มีบุญบารมีรู้จักพระเดชพระคุณเป็นการส่วนตัว
แต่ก็พยายามเข้าใกล้พระเดชพระคุณโดยการศึกษางานเขียนแทน ถือเป็นการคบบัณฑิตอีกรูปแบบหนึ่ง
คือแทนที่จะเข้าไปหา ปรึกษาสนทนาท่านผู้เป็นบัณฑิตโดยตรง ก็ใช้วิธีการศึกษางานเขียนของท่านผู้เป็นบัณฑิตนั้น
ข้อนี้จัดเป็นมงคลอย่างสูงสุดเช่นเดียวกัน
ทัศนะเกี่ยวกับการศึกษา
ของพระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต)
๑.
จุดกำเนิดของการศึกษา
เนื้อหาในหนังสือเรื่อง
"ทางสายกลางของการศึกษาไทย" แบ่งเป็น ๓ ตอน
ตอนที่
๑ ว่าด้วยเรื่องการศึกษา เครื่องมือพัฒนาที่ยังต้องพัฒนา
ตอนที่
๒ ว่าด้วยเรื่องความคิด แหล่งสำคัญของการศึกษา
ตอนที่
๓ ว่าด้วยเรื่องปัญหาที่ต้องแก้ไขยิ่งกว่าขยายโอกาสทางการศึกษา
นอกจากนี้
ยังแบ่งย่อยเนื้อหาเป็น ๔ บท ผู้เขียนสนใจเนื้อหาของบทที่ ๒ ว่าด้วยเรื่องจุดกำเนิดของการศึกษา
พระเดชพระคุณเห็นว่า จุดกำเนิดของการศึกษาคือ "แรงจูงใจ"
เริ่มตั้งแต่แรงจูงใจอย่างหยาบจนถึงแรงจูงใจอย่างละเอียด แรงจูงใจในการศึกษาในทัศนะของไอน์สไตน์มี
๓ อย่าง คือ (๑)ความกลัว (๒)ความใฝ่สูงอยากดีอยากเด่น (๓)ฉันทะ คือความสนใจใฝ่รักและความปรารถนาต่อสัจธรรมและปัญญา
พระเดชพระได้อ้างคำพูดของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ว่า
วิทยาศาสตร์จะได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นมาได้ก็โดยอาศัยบุคคลที่เต็มเปี่ยมด้วยความใฝ่ปรารถนาต่อสัจธรรม
และปัญญาที่เข้าใจถึงความจริงนักวิทยาศาสตร์ที่แท้จริงทุกคนมีความเชื่ออย่างลึกซึ้งว่า
กฎเกณฑ์ที่กำกับสากลพิภพนี้เป็นสิ่งที่มีเหตุผล และสามารถเข้าใจได้ด้วยเหตุผล
จากข้อความนี้ พระเดชพระคุณกำลังบอกว่า
จุดเริ่มต้นของการศึกษาคือความเชื่อมั่นในหลักแห่งเหตุผล และมีแรงจูงใจใฝ่ต่อสัจธรรมและวิธีการที่จะเข้าถึงสัจธรรมนั้น
สากลจักรวาลเป็นเรื่องของเหตุผล ไม่ได้เกิดขึ้นลอย ๆ มีคำอยู่ ๔ คำที่พระเดชพระคุณกล่าวถึง
คือ (๑)วิธีการวิทยาศาสตร์ (๒)ความคิดแบบวิทยาศาสตร์ (๓)ทัศนคติแบบวิทยาศาสตร์
และ(๔)จิตใจแบบวิทยาศาสตร์ ถ้าพิจารณาอย่างผิวเผินอาจทำให้เข้าใจผิดได้ว่าทั้ง
๔ คำนี้มีนัยเหมือนกัน แต่ความจริงแล้วไม่เหมือนกัน พระเดชพระคุณให้คุณค่าแก่คำว่า
"จิตใจแบบวิทยาศาสตร์" ถามว่า "เพราะเหตุไร" เมื่อวิเคราะห์ข้อความต่อมาจึงได้คำตอบว่า
จิตใจแบบวิทยาศาสตร์นั้นเป็นจิตใจของผู้ที่มีความเชื่อมั่นในทางศาสนา
เชื่อว่า สากลจักรวาลมีความสมบูรณ์และสามารถรับรู้ได้ด้วยการแสวงหาความรู้อย่างมีเหตุผล
พระเดชพระคุณบอกว่า
จุดเริ่มต้นของศาสนากับวิทยาศาสตร์เป็นอันเดียวกัน
หรือว่าศาสนานั่นเองทำให้คนเป็นนักวิทยาศาสตร์ ถ้าไม่มีจิตใจวิทยาศาสตร์แบบนี้
ไม่มีความใฝ่ปรารถนาอย่างแท้จริงที่จะเข้าถึงสัจธรรมหรือปัญญาที่รู้เข้าใจจริงต่อสภาวะของสิ่งทั้งหลาย
แล้ว เราก็ไม่สามารถที่จะเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่แท้จริงได้
ข้อความที่กล่าวมานี้ พระเดชพระคุณวิเคราะห์และสรุปจากที่ไอน์สไตน์ได้กล่าวไว้
ต่อมาพระเดชพระคุณได้กล่าวถึงจุดกำเนิดของการศึกษาตามแนวพุทธ โดยระบุคำว่า
"แรงจูงใจ" เช่นเดียวกัน ซึ่งมีทั้งอย่างหยาบและละเอียดรวม
๔ อย่าง โดยแบ่งแรงจูงใจอย่างหยาบไว้ ๓ ประการคือ (๑) ภยะ ความกลัว
(๒)ตัณหา อยากได้ (๓)มานะ อยากดีอยากเด่น และแรงจูงใจอย่างละเอียด
๑ ประการ คือ ฉันทะ
แรงจูงใจอย่างหยาบทั้ง ๓ ประการดังกล่าวเป็นสิ่งที่ไม่ดี
แต่เป็นธรรมชาติของสัตว์โลกโดยเฉพาะมนุษย์ คือมนุษย์ปุถุชนทุกคนมีด้วยกันทั้งนั้น
ส่วนแรงจูงใจอย่างละเอียด คือ ฉันทะนั้นถือเป็นแรงจูงใจที่ถูกต้อง
ฉันทะแบ่งเป็น ๒ ส่วนคือ (๑)ความใฝ่รู้ความจริง (๒)ความใฝ่ดี รวมเรียกว่า
"ธรรมฉันทะ"
พระธรรมปิฎกได้ชี้ให้เห็นทัศนะที่เหมือนกันเกี่ยวกับจุดกำเนิดของการศึกษาทั้งตามแนวพระพุทธศาสนาและอัลเบิร์ต
ไอน์สไตน์ นั่นคือ ฉันทะ ความใฝ่รู้ความจริงและใฝ่ปรารถนาสิ่งดีงาม
ซึ่งพระเดชพระคุณได้สรุปไว้เป็นศัพท์ทางวิชาการว่า "ธรรมฉันทะ"
เป็นการจำกัดเนื้อหาเชิงวิเคราะห์ของคำนี้ไว้ในกรอบที่แน่นอน เมื่อพูดถึงคำว่า
"ฉันทะ" อาจมีนัยหลายอย่าง แต่เมื่อพูดถึงคำว่า "ธรรมฉันทะ"
นั่นหมายถึงความใฝ่รู้ความจริงและใฝ่ปรารถนาความดีงาม
๒. สารัตถะของการศึกษา
เนื้อหาที่สำคัญในบทที่ ๓ คือ เรื่องสารัตถะของการศึกษา
พระธรรมปิฎกได้กล่าวถึงกระบวนการของการศึกษาทั้งระบบ ๓ ภาค คือ
๒.๑ ภารกิจของการศึกษา
ในขั้นนี้เป็นเรื่องของผู้ให้การศึกษาทั้งระดับผู้บริหารและผู้ปฏิบัติการ
ต้องรู้จักแบ่งหน้าที่ของตัวเองออกเป็น ๒ ส่วน คือ (๑) หน้าที่ถ่ายทอดศิลปวิทยา
ส่งเสริมเพิ่มพูนวิชาการและวิชาชีพ(๒) หน้าที่ในการชี้แนะให้ดำเนินชีวิตถูกต้องดีงาม
และรู้จักพัฒนาตน นั่นคือ ในขณะปฏิบัติหน้าที่ให้การศึกษา ต้องทำหน้าที่
๒ ประการให้สมบูรณ์ คือ (๑)หน้าที่ให้ความรู้ เรียกว่า "สิปปทายก"
(๒)หน้าที่ในฐานะเป็นเพื่อนที่ดีคอยช่วยเหลือนแนะนำสั่งสอนแนวทางดำเนินชีวิต
เรียกว่า "กัลยาณมิตร"
พระธรรมปิฎกได้กล่าวเน้นให้ผู้บริหารและผู้ปฏิบัติการเกี่ยวกับการศึกษารู้ว่า
การศึกษาที่สมบูรณ์นั้น ไม่ใช่มุ่งเฉพาะความเป็นเลิศทางวิชาการ แต่ต้องมุ่งสร้างความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ด้วย
พระเดชพระคุณได้อ้างคำพูดของไอน์สไตน์อีกว่า
"การสอนคนให้มีความรู้เชี่ยวชาญพิเศษอย่างเดียวไม่พอ
ถ้าทำอย่างนั้น คนก็จะกลายเป็นเครื่องจักรกลที่ประโยชน์ชนิดหนึ่ง"
แต่มนุษย์เป็นสัตว์ที่มีเหตุผล ไม่ใช่เครื่องจักรกล อาริสโตเติลก็ดี
อิมมานูเอล ค้านท์ก็ดี ล้วนแต่เชื่อในทฤษฎีนี้ "มนุษย์เป็นสัตว์ที่มีเหตุผล"
และเมื่อมีเหตุผลก็ต้องพัฒนาได้ โดยพัฒนามาจากภายในนั่นแหละ ไม่ใช่ปฏิสังขรณ์เอาเครื่องอะไหล่ใส่เข้าไปใหม่เหมือนเครื่องจักร
๒.๒ ขั้นตอนของการศึกษา
การศึกษาในระดับอุดมศึกษาทางโลก แบ่งเป็น ๓ ขั้น คือ (๑)ปริญญาตรี
ศึกษาแบบกว้าง ๆ (๒)ปริญญาโท ศึกษาเจาะลึกลงไปในรายวิชา (๓)ปริญญาเอก
ศึกษาเจาะลึกลงไปเฉพาะเรื่อง นี้เป็นปริญญาทางโลก
ส่วนปริญญาทางพระพุทธศาสนา ก็มี
๓ ขั้นเหมือนกันคือ (๑) ญาตปริญญา รู้จัก (๒)ตีรณปริญญา รู้ตรองเห็น
(๓)ปหานปริญญา รู้ขั้นปฏิบัติการแก้ปัญหาได้เสร็จสิ้น
พระธรรมปิฎกได้จัดลำดับการศึกษาระดับอุดมศึกษาใหม่
โดยจัดปริญญา ๓ ขั้นของทางโลกนั้นเป็นกลุ่มวิชาการ และจัดปริญญาทางพระพุทธศาสนาเป็นกลุ่มจรณะ
พระเดชพระคุณได้อธิบายว่า ระบบปริญญา ๓ ขั้นทั้งตามแบบสถาบันการศึกษาทั่วไปและแบบพระพุทธศาสนาต่างช่วยเสิรมกันและกัน
สรุปวิเคราะห์ได้จากตรงนี้ก็คือ ขณะที่เรียนวิชาการแขนงต่าง ๆ ก็เรียนไป
รู้อะไรรู้ให้จริง เมื่อเห็นว่ารู้พอสมควรแล้วก็หันมาพัฒนาตนให้จิตนิ่งใจใส
เพื่อนำความรู้วิชาการออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่
๒.๓ วัตถุประสงค์ของการศึกษา
พระพุทธศาสนาใช้คำว่า"วิชชาจรณสัมปันนะ" แปลว่า สมบูรณ์ด้วยความรู้และความประพฤติ
คือ เมื่อศึกษาจบแล้วจะต้องมีทั้งความรู้ดีและประพฤติดี มีศัพท์ทางวิชาการอยู่ชุดหนึ่งที่พระเดชพระคุณได้นำมาใช้จนเป็นที่นิยมกันทั่วไปในวงวิชาการด้านการศึกษา
คือ (๑)ภาวิตกาย (๒)ภาวิตศีล (๓)ภาวิตจิต (๔)ภาวิตปัญญา นั่นคือ คนที่ศึกษาจบไปแล้วต้องมีกายที่ได้รับการพัฒนา
มีความประพฤติที่ได้รับการพัฒนา มีจิตที่ได้รับการพัฒนา และมีความรู้ที่ได้รับการพัฒนา
เฉพาะข้อ(๓)ภาวิตจิตนั้น พระเดชพระคุณจะเน้นอยู่เสมอเมื่อมีโอกาสได้อธิบายต่อสังคม
โดยจิตที่ได้รับการพัฒนาแล้วนั้น ต้องเป็นที่มี (๑)คุณภาพ (๒)สมรรถภาพ
และ(๓)สุขภาพ และจุดเน้นนี้ได้กลายเป็นภาษาระดับชาติไปแล้ว ได้รับการบรรจุไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับปัจจุบัน
ตอนที่ว่าด้วยแผนพัฒนาจิต
นอกจากนี้ ในบทที่ ๓ นี้ พระเดชพระคุณยังได้กล่าวถึงจุดมุ่งหมายของการศึกษา
๒ แนว คือ (๑)จุดมุ่งหมายแนวตั้ง ได้แก่ ประโยชน์ปัจจุบัน ประโยชน์เบื้องหน้า
และประโยชน์สูงสุด คือหมดกิเลส (๒) จุดมุ่งหมายแนวราบ ได้แก่ ประโยชน์ตน
ประโยชน์ผู้อื่น และประโยชน์ทั้งแก่ตนและผู้อื่น จุดมุ่งหมายในแนวตั้ง
น่าจะหมายถึงสิ่งที่ผู้สำเร็จการศึกษาทางโลกทั่วไปต้องกำหนดไว้ ในขณะที่ดำเนินชีวิต
ส่วนจุดมุ่งหมายในแนวราบ เป็นสิ่งที่ทั้งผู้สำเร็จการศึกษาทางโลกและผู้ฝึกตนทางธรรมจนหมดกิเลสแล้วต้องกำหนดไว้
สภาพปัญหาปัจจุบัน
และวิธีการแก้ไข
๑. การขยายโอกาสทางการศึกษา
: สร้างความแปลกแยกจากสังคมหรือพัฒนาสังคม ?
ในตอนท้ายของบทที่ ๓ พระธรรมปิฎกได้กล่าวถึงเรื่อง
"ความคิด" ซึ่งเป็นแหล่งสำคัญของการศึกษา แต่ผู้เขียนเห็นว่าถ้าวิเคราะห์ในที่นี้ก็จะทำให้บทความยาวเกินไป
จึงขอโอกาสละไว้ จะขอวิเคราะห์เนื้อหาตอนสุดท้ายของบทที่ ๔ เลยทีเดียว
มาตรา ๔๓ แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ กำหนดไว้ว่า
"บุคคลย่อมมีสิทธิเสมอกันในการรับการศึกษาขั้นพื้นฐานไม่น้อยกว่าสิบสองปีที่รัฐจะต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย
การจัดการศึกษาอบรมของรัฐต้องคำนึงการมีส่วนร่วมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและเอกชน
ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ
การจัดการศึกษาอบรมขององค์กรวิชาชีพและเอกชนภายใต้การกำกับดูแลของรัฐ
ย่อมได้รับความคุ้มครอง ทั้งนี้ ตามกฎหมายบัญญัติ"
จากบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้เอง
ต่อไปนี้ รัฐจะต้องระดมสรรพกำลังมุ่งไปที่การขยายโอกาสทางการศึกษา
ความจริงในอดีตก็ทำอยู่แล้ว แต่ยังไม่เต็มที่เหมือนที่จะเกิดต่อไปในอนาคต
ข้อนี้เป็นความหวังดีที่รัฐมีต่อคนในรัฐ แต่มนุษย์เราก็ลืมไปว่า "บางที
ความหวังดีไม่ได้หมายถึงว่าจะเกิดผลดีเสมอไป"
พระธรรมปิฎกเห็นด้วยกับการขยายโอกาสทางการศึกษาเพราะการศึกษาทำให้เกิดปัญญาซึ่งเป็นแกนนำของการพัฒนามนุษย์
แต่ต้องเป็นการศึกษาที่ถูกต้อง พระเดชพระคุณกล่าวไว้ตอนหนึ่งเกี่ยวกับคำปรับทุกข์ของชาวนา
๒ คนว่า
... แต่ก่อนในสมัยของแกนั้น เมื่อเลิกเรียนมาแล้วก็มาช่วยพ่อแม่เลี้ยงควาย
แต่ว่าเด็กสมัยปัจจุบันนี้กลับจากโรงเรียนแล้ว พ่อแม่ขอให้ช่วยทำนาบ้างก็ไม่ช่วย
เด็ดจะอ้างว่าทางโรงเรียนมีการบ้าน จะต้องทำการบ้าน การที่จะไปทำนานั้นไม่ใช่หน้าที่ของเขา
หน้าที่ของเขาคือการเรียนหนังสือ อันนี้ พ่อแม่ก็อาศัยลูกไม่ได้ นี่ก็เป็นเรื่องที่ทำให้เกิดความรู้สึกไม่สบายใจแก่ชาวนาที่เป็นพ่อแม่
...
นี้เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในชนบท
เมื่อเด็กเข้ารับการศึกษา จากประสบการณ์ของผู้เขียนเอง ปัญหาอย่างนี้ส่วนมากจะเกิดในหมู่เด็กที่เรียนระดับมัธยม
เพราะเด็กชนบทที่เรียนมัธยมนั้นส่วนใหญ่จะคิดว่าตัวเองเป็นคนอีกกลุ่มหนึ่งแยกจากชาวนาทั่วไป
ปัญหานี้เป็นเรื่องชาวโลกโดยเฉพาะ ยังไม่พูดถึงปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับสถาบันพระพุทธศาสนา
ปัญหาที่เกิดขึ้นในชนบทอันเนื่องมาจากการขยายการศึกษานั้น
อย่าว่าแต่การขยายการศึกษาภาคบังคับจาก ๖ ปีเป็น ๑๒ ปีเลย เมื่อก่อนนี้
แม้แต่ขยายจาก ๔ ปีเป็น ๖ ปีก็ยังกระทบไม่น้อย จริงอยู่ การศึกษานั้นเป็นการจัดให้เปล่า
แต่เด็กไปโรงเรียนก็ไม่ได้หมายถึงว่าจะไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายอะไร ค่ารถ
ค่าอาหาร ค่าเสื้อผ้าชุดนักเรียน เมื่อก่อนเคยเสียใช้จ่ายเพื่อสิ่งเหล่านี้เพียง
๖ ปี ต่อไปต้องเสีย ๑๒ ปี นี้ก็เป็นปัญหาเหมือนกัน
พระธรรมปิฎกกล่าวถึงปัญหานี้เหมือนกัน
แต่กล่าวถึงในอีกลักษณะหนึ่ง พระเดชพระคุณกล่าวว่า
เมื่อรัฐขยายการศึกษาจากประถมสี่เป็นประถมหกประถมเจ็ด
ปัญหาก็เกิดขึ้นโดยมีผลกระทบสำคัญต่อวงการคณะสงฆ์และสังคมไทย คือเด็กเหล่านี้จบการศึกษาเมื่อโตขึ้นแล้ว
ความรู้สึกนึกคิดจิตใจก็เปลี่ยนไป คือเกิดมีแรงจูงใจในด้านที่จะทำงาน
... พวกนี้แทนที่ว่าจบประถมสี่แล้วจะเรียนต่อเคยบวชเณรเรียนในวัด หรือช่วยพ่อแม่ทำงานอาชีพในท้องถิ่นก็เลยเปลี่ยนมาเข้าโรงงานอุตสาหกรรมมาทำงานในเมืองหรือในกรุงไป
...
วิเคราะห์ต่อให้เห็นข้อเท็จจริงประการหนึ่งว่า
ถ้าเปิดโอกาสให้เด็กในชนบทได้บวชเรียน ผลดีที่เกิดแก่พ่อแม่เด็กซึ่งเห็นได้ชัด
มี ๒ ประการ คือ (๑)ประหยัดค่าใช้จ่าย (๒)ลูกมีที่อยู่แน่นอนและมีคนดูแลรักษา
โดยเฉพาะเรื่องค่าใช้จ่ายนั้นสำคัญที่สุด คนในชนบทไม่มีรายได้ประจำเหมือนคนในเมืองที่งานราชการหรือทำงานเอกชน
ในขณะที่ค่าใช้จ่ายเพื่อการศึกษานั้นต้องจ่ายทุกวันทุกเดือน นี้เป็นปัญหาสำคัญมากสำหรับคนในชนบทที่ไม่ค่อยมีใครหามาตรการแก้ไข
แต่ปัญหาสำคัญอย่างยิ่งที่พระธรรมปิฏกล่าวอยู่เสมอคือ "การศึกษาที่สร้างความแปลกแยกจากชุมชน
การศึกษาที่เป็นการขุดทรัพยากรคนออกจากท้องถิ่นให้ค่อยๆ หมดไป"
พระเดชพระคุณกล่าวไว้สรุปความได้ว่า
... ยิ่งเรียนไปยิ่งกลายเป็นคนนอกชุมชน
กลายเป็นคนละพวกกับพ่อแม่ อยากจะออกไปแสวงหาความก้าวหน้าในสังคมภายนอก
ถึงขนาดที่ว่า ดูถูกวิถีชีวิตของชุมชนของตนเอง และบางคนเมื่อเรียนจบไปแล้วไม่มีงานทำ
กลายเป็นคนว่างง่าน จะกลับไปเข้าสังคมเดิมก็ไม่ได้ จะเข้าสังคมเมืองก็ไม่ได้
เพราะไม่มีงานทำ ...
ความจริง ปัญหาในลักษณะนี้ไม่ใช่เกิดเฉพาะในเด็กฆราวาสเท่านั้น
แม้แต่เด็กที่บวชเรียนแต่เรียนไม่จบชั้นสูงสุดก็สร้างปัญหาในลักษณะนี้เหมือนกัน
โดยเฉพาะที่พวกที่บวชนานถึง ๕ ปี ๑๐ ปี ห่างเหินจากสังคมของตนเองมานาน
ขาดประสบการณ์ในการประกอบอาชีพ บางคนเมื่อสึกออกไปแล้วก็กลับเข้าสังคมเดิมได้
บางคนก็กลับเข้าไม่ได้ กลายเป็นคนหาสังคมไม่ได้
พระธรรมปิฎกได้ชี้สภาพปัญหาอย่างชัดเจนและตรงกับข้อเท็จจริงที่ปรากฏอยู่ในสังคมไทยปัจจุบัน
พระเดชพระคุณไม่ได้เสนอแนวทางแก้ปัญหาไว้โดยตรง แต่กล่าวไว้โดยรวมว่า
การศึกษาในชนบทต้องให้สอดคล้องกับสภาพสังคมในชนบท ความจริง การชี้ให้เห็นป้ญหาอย่างชัดเจนก็เท่ากับการเสนอแนะวิธีการแก้ปัญหาอยู่ในตัวแล้ว
ซึ่งผลที่ตามมาจะเห็นว่า คณะกรรมการดำเนินงานโครงการ "การศึกษาไทยในยุคโลกาภิวัตน์"
ได้เสนอแนวคิดในการจัดการศึกษาในประเทศไทยต่อไปนี้ เด็กในแต่ละท้องถิ่นจะต้องรู้เรื่องของตัวเองด้วย
เพื่อไม่ได้เกิดความแปลกแยกจากชุมชนของตนเอง คณะผู้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนก็เอาแนวคิดนี้ไปบรรจุไว้ในบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน
นักการศึกษาไทยที่ได้ยกร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติก็นำแนวคิดนี้ไปบรรจุไว้ในบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติ
นี้คือผลที่เกิดขึ้นจากการที่พระเดชพระคุณได้เสนอความคิดเกี่ยวกับการศึกษาแก่สังคมไทยเรื่อยมา
๒. แนวคิดในการยกระดับการศึกษา
: จุดเน้นควรอยู่ที่ผู้ให้การศึกษา หรือผู้รับการศึกษา ?
องค์ประกอบของการจัดการศึกษามี
๓ ประการ คือ (๑)ผู้ให้การศึกษา (๒)เครื่องมือในการจัดการศึกษา และ(๓)ผู้รับการศึกษา
พระธรรมปิฎกเห็นว่า คุณภาพการศึกษาขึ้นอยู่กับคุณภาพของครู นั่นคือผู้ให้การศึกษาโดยเฉพาะผู้ปฏิบัติการสำคัญที่สุด
พระเดชพระคุณกล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า
เราจะต้องมีการยกฐานะของครูทั้งในด้านคุณธรรม
ความรู้ วิชาการ และยกฐานะในทางเศรษฐกิจและสังคมไปด้วย ปัจจุบันนี้
ฐานะของครูนั้นทรุดหมดเลย ทั้งด้านคุณธรรมและวิชาการ ทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม
ซึ่งจะปล่อยไว้ไม่ได้...
ถามว่า "ปัจจุบัน ครูดีมีคุณภาพมีอยู่เพียงพอต่อการจัดการศึกษาหรือไม่
?"
คณะผู้ดำเนินงานโครงการ "การศึกษาไทยในยุคโลกาภิวัตน์"
กล่าวไว้ในหนังสือเรื่อง "ความจริงของแผ่นดิน" บทที่ ๖ หน้า
๘๙-๙๘ พอสรุปความได้ว่า ประเทศไทยมีครูเก่งดีอยู่เต็มแผ่นดิน แต่เรายังขาดเครือข่ายที่จะเชื่อมโยงครูเก่งดีที่มีอยู่ทั่วทุกมุมของประเทศเข้าด้วยกัน
วิธีการระดมครูดีให้รวมกลุ่มเพื่อสร้างพลังดีงามและกระแสดีงามส่งถ่ายแก่กันและก็คือการสร้างเครือข่ายให้ครูดีเชื่อมโยงกันได้อย่างสะดวก
มีการแลกเปลี่ยนทัศนะและดูงานระหว่างกัน
พระธรรมปิฎกกล่าวถึงปัญหาในการผลิตครูที่มีคุณภาพทั้งด้านคุณธรรมและวิชาการพอสรุปความได้ว่า
การจัดสรรงบประมาณให้สถาบันการศึกษาของรัฐ ที่คิดตามจำนวนนักศึกษา
ทำให้สถาบันอุดมศึกษาต้องรับนักศึกษา(ที่จะมาเรียนเป็นครู)จำนวนมาก
เพื่อให้ได้งบประมาณมาก ๆ จำนวนนักศึกษาที่มากเกินไป ทำให้เป็นอุปสรรคในการผลิตครูที่มี
คุณภาพ
พระเดชพระคุณได้เสนอวิธีแก้ปัญหาในเบื้องต้น คือ เปลี่ยนวิธีการจัดสรรงบประมาณ
โดยอาจไม่ต้องคิดตามจำนวนนักศึกษาก็ได้ ให้แต่ละสถาบันรับนักศึกษาที่จะเรียนเป็นครูเฉพาะทาง
ไม่ซ้ำกัน จัดงบประมาณตามจำเป็นของสาขาวิชาที่เรียน การชี้ประเด็นปัญหาเกี่ยวกับการยกฐานะของครูนี้
พระเดชพระคุณชี้ได้ตรงประเด็นที่สุด กระทรวงทบวงกรมต่าง ๆ ในปัจจุบันที่มีหน้าที่เกี่ยวกับการผลิตครูอาจารย์ต่างมีนโยบายในลักษณะนี้
คือ มุ่งผลิตครูอาจารย์ที่มีคุณภาพ
ความสรุป
ผลงานทางวิชาการทั้งหมดของพระธรรมปิฎก
ไม่ใช่เฉพาะด้านการศึกษา ถือเป็นมรดกทางความคิดที่จะตกเป็นสมบัติของชาวโลกตราบชั่วนิรันดร์กาล
กล่าวเฉพาะในปัจจุบัน ลูกหลานที่เป็นนักศึกษาระดับปริญญาโทและปริญญาเอกที่ศึกษาอยู่ในเมืองไทยหลายท่านก็ยังมัวหลงทางหางานเขียนที่จะใช้เป็นหัวข้อ
"วิทยานิพนธ์"ให้ตัวเองไม่ได้ ในขณะที่อีกหลายท่านเช่นเดียวกันตื่นจากภวังค์แล้ว
ได้หยิบเอางานของพระเดชพระคุณนี่แหละเป็นหัวข้อวิทยานิพนธ์ และวิเคราะห์งานของพระเดชพระคุณนี่แหละ
ทำให้สำเร็จการศึกษารับปริญญาสมใจ นี่ยังไม่พูดถึงหนังสือ "พุทธธรรม"
ที่กลายเป็นคู่มือประกอบการศึกษาระดับปริญญาไปแล้ว ไม่ว่าจะศึกษาปริญญาระดับไหน
ถ้าเป็นวิชาเกี่ยวกับหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาแล้ว ทุกคนต้องอ่านพุทธธรรมทั้งนั้น
ผู้เขียนยังจำได้สมัยที่เรียนปริญญาโทที่บัณฑิตวิทยาลัย
มจร. ขณะที่เรียนวิชา "พระพุทธศาสนากับปรัชญาตะวันตก" ซึ่งสอนโดยพระราชวรมุนี
(ประยูร ธมฺมจิตฺโต) อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยองค์ปัจจุบัน
สมัยนั้นท่านอธิการบดีดำรงสมณศักดิ์เป็นพระเมธีธรรมาภรณ์ นิสิตหลายท่านเมื่อพบว่าทฤษฎีทางตะวันตกหลายเรื่องมีลักษณะเหมือนกับทฤษฎีในพระพุทธศาสนา
จึงถามอาจารย์สอนว่า "เพราะเหตุไร ทฤษฎีเหล่านี้จึงเหมือนกัน
?" พระเดชพระคุณผู้สอนได้พูดไว้ตอนหนึ่งว่า
วิชาการทุกสาขามีจุดกำเนิดร่วมกัน
การศึกษาวิชาการทุกแขนงเปรียบเหมือนการขุดบ่อหาตาน้ำ ชาวชนบทในฤดูแล้ง
ไม่มีน้ำกิน ต้องขุดบ่อหาน้ำ ตรงไหนเป็นแหล่งน้ำ ขุดเพียงตื้น ๆ ก็จะเจอตาน้ำ
แต่ใช้อาบใช้ดื่มได้ไม่นาน น้ำนั้นก็จะหมด เพราะไม่ใช่ตาน้ำที่แท้จริง
แต่ถ้าขุดลึกถึงระดับจริง ๆ แล้ว จะเจอตาน้ำจริง ใช้ อาบใช้ดื่มอย่างไรก็ไม่มีวันหมด
วิชาการทุกแขนงก็เหมือนกัน ถ้าศึกษาให้ลึกถึงแก่นแท้จริง ๆ แล้ว และพบสารัตถะที่แท้จริงแล้ว
จะเหมือนกับการพบตาน้ำที่แท้ จริง สามารถพูดได้อย่างไม่รู้จบ พูดโยงถึงกันได้ทุกแขนง
วิชาการของพระธรรมปิฎกก็มีลักษณะเดียวกัน
พระเดชพระคุณได้ศึกษาลึกถึงแก่นแท้ของวิชาการโดยเฉพาะด้านพระพุทธศาสนา
จึงสามารถพูดเชื่อมโยงกันได้กับวิชาการทุกแขนง และพูดได้อย่างไม่รู้จบ
ข้อนี้ถือเป็นแบบอย่างแก่บุคคลผู้ประสงค์จะก้าวขึ้นวิถีแห่งปราชญ์ในปัจจุบันและอนาคต
จุดเด่นในการนำเสนอเรื่องทางวิชาการของพระเดชพระคุณ ถือเป็นมาตรฐานที่นักวิชาการรุ่นใหม่ต้องถือเป็นแบบอย่างอย่างยิ่ง
นั่นคือการเชื่อมโยงหลักวิชาการทางพระพุทธศาสนาเข้ากับหลักวิชาการทางโลกอย่างกลมกลืน
ไม่พูดถึงความแตกต่างหรือความขัดแย้งกันกันเพียงด้านเดียว แต่จะชี้ให้เห็นความเหมือนและความต่าง
และจุดที่จะเชื่อมประสานกันได้ เช่น เรื่องปริญญาทางโลกกับปริญญาทางธรรม
ส่วนที่เกี่ยวกับการศึกษาซึ่งก่อให้เกิดปัญหานั้น
ผู้เขียนมีประสบการณ์เกี่ยวกับปัญหาของเด็กในชนบทที่บวชเป็นสามเณรเพื่อเรียนหนังสือ
คนเหล่านี้ถ้าเรียนจบประโยค ๙ หรือจบปริญญาตรีพุทธศาสตรบัณฑิต/ศาสนศาสตรบัณฑิต
แม้จะอยู่เป็นพระภิกษุสามเณรต่อไปไม่ได้ สึกออกไปก็พอเอาตัวรอดได้
แต่พวกที่เรียนไม่จบขั้นสูงสุดแล้วสึกออกไปกลางคัน ผู้เขียนเรียกคนพวกนี้ว่า
"มหาสุกก่อนห่าม" คนเหล่านี้น่าสงสาร จะกลับไปทำไร่ทำนาก็ไม่ได้
เพราะห่างเหินมานาน ไม่มีประสบการณ์ในการทำนา จะทำงานราชการบริษัทห้างร้านก็ไม่ได้
เพราะไม่มีปริญญา จะไปเป็นกรรมกรแบกหามก็ไม่ได้ เพราะบวชมานานไม่ค่อยได้ใช้กำลัง
เป็นคนผมแห้งแรงน้อย เลยกลายเป็นว่าคนพวกนี้หาสังคมอยู่ไม่ได้
พระธรรมปิฎกจึงกล่าวอยู่เสมอเกี่ยวกับปัญหาการศึกษาว่า
"ชนบทก็หมดตัว ลูกชาวชนบทก็หมดทางไป" พระเดชพระคุณหมายถึงปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่ในสังคมชนบทตอนนี้แหละ
แต่เน้นปัญหาทั่วไป ไม่ได้เน้นปัญหาของลูกชาวชนบทที่บวชเรียนหนังสือ
ในขณะที่เรียนหนังสืออยู่ก็มุ่งเรียนอย่างเดียว ไม่ได้สนใจทำอย่างอื่น
แต่ระยะเวลาของการเรียนจนจบหลักสูตรนั้น ใช้เวลาเป็นสิบปีขึ้นไป ต้องใช้ความอดทนมาก
คนที่ทนไม่ได้จึงประสบปัญหาดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม สรุปได้ว่า ทัศนะเกี่ยวกับการศึกษาของพระธรรมปิฎกนั้น
ครอบคลุมทั้งระบบ ครอบคลุมองค์ประกอบทุกอย่างเกี่ยวกับการศึกษา พระเดชพระคุณนำเสนอทั้งในจุดเริ่มต้น
กระบวนการดำเนินงานในท่ามกลาง และแนวทางในการแก้ปัญหากรณีที่เกิดปัญหาและแนวทางในการพัฒนาต่อไปกรณีที่ไม่เกิดปัญหา
ภาษาธรรมะเรียกการนำเสนอแบบนี้ว่า "อาทิกัลยาณะ มัชเฌกัลยาณะ
ปริโยสานกัลยาณะ" คือ งามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง และงามในที่สุด
ปัจจุบัน พระเดชพระคุณได้กลายเป็นแม่แบบในการพัฒนาตนทางด้านวิชาการของลูกหลานทุกคนไปแล้ว
โดยเฉพาะนิสิตนักศึกษา ครูอาจารย์ด้านพระพุทธศาสนา เมื่อใดก็ตามที่เกิดความท้อถอยในการฝึกฝนอบรมตนด้านวิชาการ
ก็จะนึกถึงอุปการคุณของพระเดชพระคุณที่ได้สร้างสรรค์งานด้านวิชาการพระพุทธศาสนาไว้ให้ลูกหลานได้ศึกษา
โดยไม่ต้องลำบากไปค้นคว้าจากแหล่งอื่นบางท่านก็คัดลอกเอาตรง ๆ ทั้งหมด
บางท่านก็ยกมาอ้างอิงเป็นตอน ๆ บางท่านก็หยิบยกขึ้นเพียงศัพท์เดียวแล้ววิเคราะห์วิจารณ์
แล้วแต่อุปนิสัยจิตใจและความจำเป็นของแต่ละคน
ด้วยความเคารพอย่างสูง...
|