ปัญหาเรื่องกรรมกับอนัตตาในพระพุทธศาสนา โดย พระมหาสมบูรณ์ วุฑฺฒิกโร (พรรณา) บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย . |
||||
ปัญหากรรมกับอนัตตาในพระพุทธศาสนา โดย พระมหาสมบูรณ์ วุฑฺฒิกโร (พรรณา), ป.ธ.๗, พธ.บ., ศศ.ม. อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ................................................................................................................................................................ ความนำ แนวคิดเรื่อง อัตตา หรือ อาตมัน เป็นแนวความคิดกระแสหลักที่สำนักปรัชญาอินเดียโบราณเกือบทุกสำนักยอมรับมาเป็นเวลานาน โดยเฉพาะสำนักปรัชญาที่ยอมรับคัมภีร์พระเวท เหตุผลอาจจะเนื่องมาจากว่าแนวคิดนี้สามารถตอบปัญหาข้อสงสัยหลัก ๆ ของมนุษย์ได้ เช่น ปัญหาเรื่องชีวิตหลังความตาย การเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ หรือผู้ทำกรรมและผู้รับผลกรรม นักคิดอินเดียโบราณมีความเห็นร่วมกันอย่างหนึ่งว่าชีวิตร่างกายของเราเป็นของไม่เที่ยงแท้แน่นอน มีความเปลี่ยนแปลงอยู่อย่างต่อเนื่องและจะต้องแตกสลายไปในที่สุด แต่ในท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงนี้ มีบางสิ่งที่เที่ยงแท้ถาวรอยู่เบื้องหลังปรากฏการณ์นั้น บางสิ่งที่ว่านี้นักคิดแต่ละสำนักมีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไป เช่น "อัตตา" "อาตมัน" "ชีวาตมัน" "สัตว์" "บุคคล" หรือ "ชีวะ" คำเรียกเหล่านี้บ่งถึงแก่นแท้อันเป็นศูนย์กลางชีวิตที่อยู่เบื้องหลังการทำ กรรมดีกรรมชั่วของบุคคล เป็นผู้ที่คอยรับผลกรรมดีกรรมชั่วทั้งในโลกนี้และโลกหน้า เป็นผู้ที่ท่องเที่ยวเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏ แม้การที่จะเข้าถึงอุดมคติสูงสุดของชีวิต ก็เป็นหน้าที่ของสิ่งนี้เองที่จะต้องพัฒนาตนเองจนสามารถกำจัดอวิทยาได้หมดไปแล้วบรรลุถึงอุดมคตินั้น ในทัศนะของนักคิดเหล่านี้ ระบบปรัชญาใดก็ตาม ที่เสนอแนวคิดทางจริยศาสตร์เกี่ยวกับเรื่องความดี/ความชั่ว การเวียนว่ายตายเกิด หรือชีวิตในอุดมคติ เป็นต้น โดยไม่ได้ตั้งอยู่บนฐานของการยอมรับความจริงทางอภิปรัชญาเกี่ยวกับอัตตา ต้องถือว่าเป็นระบบจริยศาสตร์ที่ตั้งอยู่บนความว่างเปล่า หรือไม่มีความจริงเป็นฐานรองรับนั่นเอง พุทธปรัชญามีแนวคิดบางอย่างร่วมกันกับปรัชญาอินเดียสำนักอื่น ๆ เช่น แนวคิดเรื่องกรรม เรื่องความทุกข์ และความไม่เที่ยงแท้แน่นอนของชีวิตที่ท่องเที่ยวอยู่ในสังสารวัฏ แต่แนวคิดที่ถือว่าเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตน ที่ทำให้พุทธปรัชญาแตกต่างจากปรัชญาอินเดียสำนักอื่น คือ ไม่เชื่อว่ามีอัตตาหรือตัวตนอันเป็นแก่นแท้ของชีวิตที่อยู่เบื้องหลังความเปลี่ยนแปลง คำว่า อัตตา เป็นบัญญัติหรือ มโนทัศน์ (Concept) ที่มนุษย์สมมติกันขึ้นมาเท่านั้น นี้คือแนวคิดแปลกใหม่ที่เดินสวนกระแสแนวคิดแบบจารีตประเพณีอย่างสิ้นเชิง และขัดแย้งกับสามัญสำนึกของคนทั่วไปเกินกว่าที่จะยอมรับได้ ทันทีที่แนวคิดนี้ถูกเสนอขึ้นมา ทั้งคำถามและข้อสงสัยต่าง ๆ ได้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่สมัยพุทธกาลจนถึงปัจจุบัน เช่น กรรมกับอนัตตาขัดแย้งกันเองหรือไม่ ถ้าไม่ยอมรับเรื่องอัตตาจะตอบปัญหาเรื่องกรรมและการเวียนว่ายตายเกิดได้อย่างไร ถ้าไม่มีอัตตาเสียแล้วใครเป็นผู้กระทำกรรมและใครเป็นผู้รับผลแห่งกรรม หรือใครเป็นผู้ปฏิบัติธรรมและใครเป็นผู้บรรลุธรรม หรือเป็นไปได้อย่างไรที่ยอมรับหลักกรรมแต่ปฏิเสธตัวผู้ทำกรรม ในพระไตรปิฎก มีข้อความหลายแห่งที่สะท้อนให้เห็นความรู้สึกขัดแย้งในสามัญสำนึก ของผู้ที่เข้ามาถามปัญหาพระพุทธเจ้า เช่น คำถามของภิกษุรูปหนึ่งที่ว่า "ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ได้ยินว่ารูปเป็นอนัตตา เวทนาเป็นอนัตตา สัญญาเป็นอนัตตา สังขารเป็นอนัตตา วิญญาณเป็นอนัตตา เพราะเหตุนั้น กรรมทั้งหลายที่อนัตตาทำจักถูกต้องอัตตาได้อย่างไร" นี้อาจจะเป็นโจทย์ข้อสำคัญที่สุดที่ทำให้ชาวพุทธยุคหลังพุทธกาล พยายามหาทางตอบมาตลอดประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา นักวิชาการหลายท่านมองว่า วรรณกรรมสายพระอภิธรรมที่เสนอคำสอนแบบสุขุมลุ่มลึกในเชิงวิชาการ จะเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามที่จะหาทางออกให้กับปัญหาดังกล่าวนี้ นอกจากนั้น ความพยายามที่จะตอบปัญหานี้น่าจะเป็นปัจจัยหนึ่ง ที่ทำให้วงการคณะสงฆ์ในสมัยหลังพุทธกาลแตกออกเป็นนิกายต่าง ๆ ดังจะเห็นได้ว่า ในคัมภีร์กถาวัตถุ พระโมคคัลลีบุตรได้ให้ความสำคัญกับปัญหาเรื่องอัตตา/อนัตตาจนถึงขนาดต้องจัดหัวข้อเรื่อง "ปุคฺคลกถา" ไว้เป็นลำดับที่หนึ่ง ในกถานี้ได้กล่าวถึงคณะสงฆ์กลุ่มหนึ่งชื่อว่าปุคคลวาท ว่าเป็นนิกายที่ยอมรับความมีอยู่บุคคล (individuality) กลุ่มนิกายนี้ยอมรับว่าขันธ์ ๕ มีความเปลี่ยนแปลง แต่ในท่ามกลางความเปลี่ยนนั้นมีนสิ่งที่เรียกว่า "บุคคล" เป็นฐานรองรับอยู่ บุคคลนี้ไม่ใช่ขันธ์ ๕ ในขณะเดียวกันก็ไม่เป็นอื่นจากขันธ์ ๕ และบุคคลนี้เองที่จะไปเกิดใหม่เมื่อละโลกนี้ไปแล้ว อีกนิกายหนึ่งได้แก่นิกายสัพพัตถิกวาท แม้จะมีแนวคิดร่วมกับคณะสงฆ์นิกายอื่น ๆ ที่ยอมรับว่าสิ่งทั้งปวงมีความเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง แต่ในท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงนี้มีบางสิ่งคงอยู่ตลอดทั้งสามคือ อดีต ปัจจุบัน และอนาคต สิ่งที่คงอยู่นี้คือ ความเป็นรูป (รูปภาวะ) ความเป็นเวทนา (เวทนาภาวะ) ความเป็นสัญญา (สัญญาภาวะ) ความเป็นสังขาร (สังขารภาวะ) และ ความเป็นวิญญาณ (วิญญาณภาวะ) ถามว่า นิกายปุคคลวาทจึงยอมรับแนวคิดบุคคล และทำไมนิกายสัพพัตถิกวาท จึงยอมรับความคงอยู่ตลอดกาลทั้งสามของสิ่งทั้งปวง เป็นไปได้หรือไม่ว่านิกายเหล่านี้ไม่พอใจเหตุผลสนับสนุนการอธิบายความสัมพันธ์ ระหว่างกรรมกับอนัตตาเท่าที่ยอมรับกันในยุคนั้น จึงได้เสนอเหตุผลใหม่โดยยกเอาสิ่งที่เรียกว่า "บุคคล" หรือ "ภาวะ" ที่อยู่เบื้องหลังความเปลี่ยนแปลงของขันธ์ ๕ มาเป็นฐานในการตอบปัญหาเรื่องกรรมกับอนัตตา มิลินทปัญหาเป็นวรรณกรรมที่เกิดหลังพุทธกาลประมาณ พ.ศ. ๕๐๐ เนื้อหาของวรรณกรรมชิ้นนี้สะท้อนให้เห็นว่า ปัญหาเรื่องกรรมกับอนัตตายังคงเป็นปัญหาที่สังคมยุคนั้นให้ความสำคัญเป็นลำดับต้น ๆ ของปัญหาทั้งหลาย วรรณกรรมชิ้นนี้ได้ยกเอาปัญหานี้ขึ้นมาอยู่ในลำดับแรก เช่นเดียวกับคัมภีร์กถาวัตถุ ตรงนี้สะท้อนให้เห็นว่า ความพยายามในการตอบปัญหาเรื่องกรรมกับอนัตตาเท่าที่ทำมาตลอด ๕๐๐ ปีนั้น ยังไม่เป็นที่น่าพอใจ และไม่สามรถแก้ข้อสงสัยของผู้คนในสังคมได้ทุกประเด็น พระเจ้ามิลินท์คือตัวแทนของคนยุคนั้น ที่ยังมีข้อสงสัยในแนวคิดเรื่องอนัตตาของพระพุทธศาสนา ในขณะที่พระนาคเสนคือตัวแทนของคณะสงฆ์ในยุคหลังพุทธกาล ที่พยายามหาคำอธิบายหรือเหตุผลสนับสนุนความสอดคล้องกันระหว่างแนวคิดเรื่อง "กรรม" กับ "อนัตตา" ของพระพุทธศาสนา ในงานเขียนชิ้นนี้ ผู้เขียนจะจำกัดขอบเขตการอภิปรายเฉพาะประเด็นปัญหา เรื่องกรรมกับอนัตตาในมิลินทปัญหาเท่านั้น เพื่อที่จะตอบปัญหาว่า พระเจ้ามิลินท์ใช้เหตุผลอะไรในการโต้แย้ง (Arguments) แนวคิดเรื่อง "กรรม" กับ "อนัตตา" ของพระพุทธศาสนา และพระนาคเสนได้ใช้เหตุผลอะไรในการแก้ข้อโต้แย้งดังกล่าวนั้น ปัญหาเรื่องบัญญัติ กับ ความจริง (concept and reality) ปัญหาข้อแรกที่พระเจ้ามิลินท์ยกขึ้นมาถามพระนาคเสน คือ บัญญัติปัญหา หรือ นามปัญหา ถ้าดูจากชื่อของปัญหาข้อนี้ดูเหมือนจะไม่มีความลึกซึ้งอะไรมากนัก ผู้ถามเพียงต้อการทราบชื่อของผู้ถูกถามเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ถ้าเราอ่านปัญหานี้อย่างละเอียด ดั้งแต่ต้นจนจบ จะเห็นได้ว่าปัญหานี้เป็นเรื่องใหญ่และลึกซึ้งมาก เพราะมุ่งตรงไปที่หัวใจคำสอนทางพระพุทธศาสนาถูกลัทธิคู่แข่งโต้แย้งมาตลอด นั่นคือคำสอนเรื่องอนัตตา นอกจากนั้น ปัญหานี้ยังโยงไปหาปัญหาทางจริยศาสตร์ด้วย คือปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างกรรมกับอนัตตา ในนามปัญหานี้ พระนาคเสนใช้วิธีตอบปัญหา ๓ แบบ คือ (๑) วิธีวิเคราะห์ (analytical) ได้แก่การวิเคราะห์แยกแยะสิ่งทั้งหลายออกเป็นส่วน ๆ เพื่อให้เห็นองค์ประกอบในระดับย่อยของมัน (๒) วิธีสังเคราะห์ (synthetic) ได้แก่ การสังเคราะห์หรือการรวมองค์ประกอบย่อย ๆ ที่แยกออกนั้นเข้าไว้ด้วยกัน (๓) การอุปมาเปรียบเทียบ (analogy) ได้แก่ การนำเอาเรื่องนามธรรมยาก ๆ ไปอุปมาเปรียบเทียบกับรูปธรรมที่เป็นเรื่องใกล้ตัวและพบเห็นได้ในชีวิตประจำวัน วิธีวิเคราะห์แยกแยะจะทำให้เข้าใจปัญหาที่ว่าความจริงคืออะไร วิธีสังเคราะห์จะทำให้เข้าใจปัญหาที่ว่าบัญญัติคืออะไร ส่วนวิธีอุปมาเปรียบเทียบถือว่าเป็นตัวเสริมที่ช่วยทำให้เข้าใจเรื่องบัญญัติและความจริงได้ง่ายยิ่งขึ้น พระเจ้ามิลินท์เริ่มต้นด้วยการถามชื่อก่อนว่า
"พระผู้เป็นเจ้าชื่ออะไร" การที่พระองค์ทรงเริ่มต้นด้วยการถามชื่อก่อน
ทรงให้เหตุผลว่าตามธรรมดาคนที่จะสนทนากันจะต้องรู้จักชื่อและโคตรของกันและกันเสียก่อน
จึงจะสนทนาได้ ความจริงคำถามของพระเจ้ามิลินท์ตรงนี้ ไม่น่าจะมาจากการอยากรู้จักชื่อของพระนาคเสนจริง
ๆ อย่างที่พระองค์ให้เหตุผล เพราะก่อนที่จะมาสนทนากัน พระองค์ได้รับการกราบทูลให้ทราบข่าวเกี่ยวกับพระนาคเสนมาแล้วอย่างน้อย
๒ ครั้ง คือครั้งแรกอำมาตย์ได้กราบทูลให้ทรงทราบถึงคำล่ำลือเกี่ยวกับเกียรติคุณของพระนาคเสนว่า
เป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถมากอย่างไร ครั้งที่ ๒ พระองค์ได้ทอดพระเนตรพระนาคเสนกับภิกษุบริวาร
แปดหมื่นรูปกำลังนั่งประชุมกันในที่แห่งหนึ่ง แต่ยังไม่มีโอกาสสนทนากัน ดังนั้น
การถามชื่อคู่สนทนาจึงน่าจะเป็นมารยาทอย่างหนึ่งของการสนทนา และน่าจะเป็นคำถามนำร่อง
เพื่อปูทางไปสู่ประเด็นเรื่องอนัตตาที่พระองค์ต้องการจะโต้แย้ง พระนาคเสนตอบคำถามนี้ว่า
"ขอถวายพระพร เพื่อนพรหมจรรย์เรียกอาตมภาพว่า นาคเสน ส่วนมารดาบิดาเรียกอาตมภาพว่า
นาคเสนก็ดี วีรเสนก็ดี สุรเสนก็ดี สีหเสนก็ดี ก็แต่ว่าชื่อที่เพื่อนพรหมจรรย์เรียกอาตมภาพว่านาคเสนนี้
เพียงแต่เป็นบัญญัติขึ้น เพื่อให้เข้าใจกันได้เท่านั้น ไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนผู้ใดจะอยู่ในชื่อนั้น"
ข้อความในคำตอบของพระนาคเสนตรงนี้มี ๒ ประเด็นคือ อนัตตามีปัญหาอย่างไร ? พระเจ้ามิลินท์ได้โต้แย้งคำตอบของพระนาคเสนว่า "ถ้าสัตว์บุคคลตัวตนไม่มีแล้ว กุศลก็ต้องไม่มี อกุศลก็ต้องไม่มี ผู้ทำหรือผู้ให้ทำซึ่งกรรมดีกรรมชั่วก็ต้องไม่มี ผลวิบากแห่งกรรมดีกรรมชั่วก็ต้องไม่มี ข้าแต่พระนาคเสน ผู้ใดฆ่าพระผู้เป็นเจ้า โทษปาณาติบาตก็ไม่มีแก่ผู้นั้น" ข้อโต้แย้งของพระเจ้ามิลินท์ตรงนี้น่าจะมาจากเหตุผลหลัก ๒ ประการคือ ๑) คำตอบที่ว่า "ไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนอยู่ในชื่อ" จะสร้างปัญหาการอธิบายถึงความรับผิดชอบทางจริยธรรม เพราะถ้าเราไม่ยอมรับว่ามีบุคคล (อัตตา) ที่เที่ยงแท้ถาวรอยู่เบื้องหลังชื่อบัญญัติแล้ว เราจะตอบปัญหาได้อย่างไร ว่าใครเป็นผู้ทำกรรมและใครเป็นผู้รับผลกรรมของตน ๒) คำตอบแบบนี้แสดงว่า พระพุทธศาสนามีแนวคิดแบบเดียวกับพวกอุจเฉททิฏฐิที่มองว่า ชีวิตขาดสูญเมื่อตาย เพราะถ้าเรายอมรับว่าไม่มีตัวตนอยู่เบื้องหลังบัญญัติ ก็ต้องยอมรับด้วยว่า เมื่อชีวิตสิ้นสุดลงจะไม่มีอะไรเหลืออยู่เพื่อรอรับผลกรรมดีกรรมชั่วที่ตนเคยทำไว้ ถ้าเปรียบเทียบข้อโต้แย้งของพระเจ้ามิลินท์กับแนวคิดแบบอุจเฉททิฏฐิของอชิตะ
เกสกัมพล จะเห็นความคลายคลึงกันมาก เจ้าลัทธิท่านนี้เชื่อว่า "ทานที่ให้แล้วไม่มีผล
ยัญที่บูชาแล้วไม่มีผล การเซ่นสรวงก็ไม่มีผล ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีทำชั่วก็ไม่มี
โลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี.... มนุษย์มีเตียงนอนเป็นที่ ๔ นำศพไป ร่างกายปรากฏอยู่แค่ป่าช้า
กลายเป็นกระดูกขาวโพลนดุจนกพิราบ การเซ่นสรวงสิ้นสุดลงแค่เถ้าถ่าน คนเขลาบัญญัติท่านนี้ไว้
คำที่คนบางพวกย้ำว่า มีผลนั้นว่างเปล่า เท็จ ไร้สาระ เมื่อสิ้นชีวิตไม่ว่าคนเขลาหรือคนฉลาดย่อมขาดสูญไม่เกิดอีก"
เป็นไปได้หรือไม่ว่าคำตอบของพระนาคเสนทำให้พระเจ้ามิลินท์ทรงนึกถึงแนวคิดแบบอุจเฉททิฏฐิของท่านอชิตะ
เกสกัมพล จึงทำให้พระองค์แสดงการโต้แย้งออกมาในลักษณะอย่างนี้ เพราะเราต้องไปลืมว่าก่อนที่จะได้มาสนทนากับพระนาคเสน
พระองค์ได้เคยพบปะได้โต้วาทะกับท่าน ถ้าเหตุผลโต้แย้งของพระเจ้ามิลินท์มี ๒ ประการ ดังที่ยกมา ก็หมายความว่า พระนาคเสนมีปัญหาที่จะต้องตอบเพิ่มมาอีก ๑ ข้อ คือ จุดยืนแบบอนัตตาของพระพุทธศาสนาแตกต่างกันอย่างไร กับจุดยืนแบบขาดสูญของพวกอุจเฉททิฏฐิ อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าในการสนทนาครั้งนี้ พระนาคเสนจะไม่ได้เน้นที่จะตอบข้อโต้แย้งทั้ง ๒ ประเด็นนี้โดยตรง หากแต่มุ่งที่จะอธิบายให้เห็นว่าเบื้องหลังของบัญญัติว่า "นาคเสน" นั้น ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าอัตตาแฝงอยู่ ในส่วนของพระเจ้ามิลินท์ก็เช่นเดียวกัน ดูเหมือนพระองค์ก็ไม่ได้โต้แย้งว่า พระนาคเสนไม่ได้ตอบปัญหาของพระองค์ครบทุกประเด็น วิธีพิสูจน์ความมีอยู่ของอัตตา หลังจากที่พระเจ้ามิลินท์ได้เสนอข้อโต้แย้งดังกล่าวแล้ว พระองค์ได้เสนอวิธีพิสูจน์ความมีอยู่ของอัตตาแบบง่าย ๆ ด้วยการถามพระนาคเสนว่า "เมื่อโยมถามพระผู้เป็นเจ้าอยู่อย่างนี้ พระผู้เป็นเจ้าได้ยินเสียงถามอยู่หรือ" พระนาคเสนตอบว่า "ขอถวายพระพร อาตมภาพได้ยินเสียงถามอยู่" พระเจ้า มิลินท์ถามต่อไปว่า "ถ้าพระผู้เป็นเจ้าได้ยินเสียงถามอยู่ คำว่า นาคเสนก็มีอยู่ในชื่อนั้นนะสิ" วิธีพิสูจน์แบบนี้ก็คือ เมื่อพระนาคเสนยืนยันว่าตนได้ยินเสียงถาม การได้ยินนี้แสดงถึงความมีอยู่ของสิ่ง ๒ สิ่ง คือ ก) มีเสียงที่ถูกได้ยิน (Object /Perceived) ข) มีผู้ได้ยิน (Subject /Perceiver) ในกรณีที่มี ก. แต่ไม่มี ข. หรือ มี ข. แต่ไม่มี ก. จะสำเร็จการได้ยินไม่ได้ ดังนั้น ถ้าพระนาคเสนยืนยันว่าได้ยินเสียงถาม แสดงว่าคำว่า "นาคเสน" ไม่ได้เป็นเพียงชื่อบัญญัติธรรมดา หากแต่เป็นคำที่บ่งถึง/ชี้ถึง (referent) ความมีอยู่ของอะไรบางอย่าง นั่นคือ "อัตตา" นักปรัชญาตะวันตกท่านหนึ่งชื่อ เดส์การ์ตส์ ได้เสนอวิธีพิสูจน์ความมีอยู่ของตัวตนคล้ายกับวิธีพิสูจน์ของพระเจ้ามิลินท์มาก เดส์การ์ตส์พิสูจน์ด้วยการวิเคราะห์ความคิดว่า "ฉันคิด ดังนั้น ฉันจึงมีอยู่" (I think, therefore I am) หมายความว่า เมื่อมีการคิดก็แสดงว่าจะต้องมีผู้ทำหน้าที่คิดและมีสิ่งที่ถูกคิด เป็นไปไม่ที่จะมีแต่การคิดโดยไม่มีผู้ทำหน้าที่คิด ดังนั้น คำว่า "ฉันคิด" จึงบ่งถึงความมีอยู่จริง ๆ ของตัวฉันในฐานะเป็นผู้ทำหน้าที่คิด อย่างไรก็ตาม
ในวิธีพิสูจน์ของพระเจ้ามิลินท์ข้างต้นนั้น แม้พระนาคเสนจะยอมรับว่าท่านได้ยินเสียงเรียกของพระเจ้ามิลินท์จริง
แต่ก็ปฏิเสธว่าการมีผู้ได้ยินนั้นยังมีเหตุผลไม่เพียงพอ ต่อการที่จะพิสูจน์ว่ามีอัตตาอายู่เบื้องหลังการได้ยินนั้น
พึงสังเกตว่าพระนาคเสนและพระเจ้ามิลินท์มีความเห็นตรงกันว่าการได้ยินต้องมีองค์ประกอบ
๒ ส่วนคือ ก. มีเสียงที่ถูกได้ยิน ข. มีผู้ได้ยินในที่นี้เสียงที่ถูกได้ยิน
คือ เสียงเรียกของพระเจ้ามิลินท์ และผู้ได้ยินคือ ตัวพระนาคเสนเอง แต่จุดที่แตกต่างกันคือ
คำว่า "มีผู้ได้ยิน" พระเจ้ามิลินท์
เมื่อวิธีพิสูจน์อัตตาแบบแรกไม่ได้รับการยอมรับจากพระนาคเสน
พระเจ้ามิลินท์จึงได้เปลี่ยนวิธีใหม่โดยยกเอาองค์ประกอบส่วนต่าง ๆ ของชีวิตหรือขันธ์
๕ และสิ่งอื่น ๆ นอกเหนือจากขันธ์ ๕ ขึ้นมาถามไล่เลียงไปทีละอย่าง เพื่อที่จะให้พระนาคเสนยอมรับให้ได้ว่าอะไรกันแน่เป็นนาคเสน
เช่น ถามว่า "ผมหรือเป็นนาคเสน?" "รูป เวทนา สัญญา สังขาร
วิญญาณ หรือ เป็นนาคเสน?" เป็นต้น โดยสรุปสิ่งที่พระเจ้า ๑) ขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ๒) อวัยวะ ๓๒ คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก ฯลฯ ๓) อายตนะภายใน ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ๔) อายตนะภายนอก ๖ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์ ๕) สิ่งอื่น ๆ นอกเหนือจาก ๔ ข้อแรก คำว่า
"เป็นนาคเสน" ที่พระเจ้ามิลินท์ถามนี้ ไม่ได้หมายถึงคำเรียกชื่อหรือบัญญัติธรรมดา
หากแต่หมายถึงแก่นแท้ของความเป็นนาคเสนหรืออัตตานั่นเอง รูปร่างหน้าตาของพระนาคเสนตอนเป็นเด็ก
หนุ่ม กลางคน และตอนแก่ อาจจะเปลี่ยนแปลงจนแทบจะดูไม่ออกว่าเป็นคนเดียวกัน
แต่ในท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงนี้ มีสิ่งหนึ่งที่เป็นแก่นแท้ซึ่งทำหน้าที่รักษาความเป็นคนเดิม
(Identity) ของพระนาคเสนเอาไว้ไม่ให้กลายเป็นคนอื่น นี้คือสิ่งที่พระเจ้ามิลินท์ทรงเรียกว่าความเป็นนาคเสน
อย่างไรก็ตาม ทุกคำถามที่ พระเจ้ามิลินท์ยกขึ้นมาได้ถูกปฏิเสธจากพระนาคเสนว่า
ไม่มีสิ่งใดเลยที่มีความเป็นนาคเสน พระองค์จึง กล่าวหาพระนาคเสนว่า "
ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า เมื่อข้าพเจ้าถามพระผู้เป็นเจ้าอยู่ ก็ไม่ได้ความอะไรเป็น การตอบปัญหาของพระนาคเสน การตอบปัญหาของพระนาคเสนอมี ๒ ขั้นตอน คือ (๑) แสดงให้เห็นว่า ขันธ์ ๕ ไม่เป็น/ไม่มีอัตตาอย่างไร (๒) อนัตตาสามารถคำตอบคำถามเรื่องผู้ทำกรรม และผู้รับผลกรรมได้อย่างไร ? ๑) การแยกแยะขันธ์ ๕
ข้อที่อาตมภาพได้ชื่อว่านาคเสน ก็เพราะอาศัยเครื่องประกอบด้วยอวัยวะทุกอย่าง คือ อาการ ๓๒ มีผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เป็นต้น อันจำแนกอกไปเป็นขันธ์ ธาตุ อายตนะ ข้อนี้ถูกตามถ้อยคำของนางวิชิราภิกษุณี ผู้เป็นอรหันต์ กล่าวขึ้นในที่เฉพาะพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าที่เรียกว่ารถ เพราะประกอบด้วยเครื่องรถทั้งปวง ฉันใด เมื่อขันธ์ทั้งหลายมีอยู่ ก็สมมติเรียกกันว่าเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ฉันนั้น ข้อความของพระนาคเสนตรงนี้
ถือว่าเป็นการสรุปจบสิ่งที่ได้สนทนากันมาทั้งหมดและถือว่า เป็นการแก้ข้อกล่าวหาและตอบปัญหาของพระเจ้ามิลินท์พร้อมเสร็จในตัว
สาระสำคัญในข้อความนี้คือ การโต้งแย้งแนวความคิดเรื่องอัตตาของพระเจ้ามิลินท์
โดยใช้วิธีแยกแยะขันธ์ ๕ ออกเป็นองค์ประกอบย่อย ๆ เพื่อให้เห็นว่าไม่มีสิ่งที่เรียกว่าอัตตาอยู่ในขันธ์
๕ นั้น พร้อมกันนั้นก็ได้ตอบปัญหาสำคัญอีก ๒ ข้อ คือ ปัญหาที่ว่าบัญญัติคืออะไร?
และความจริงคืออะไร? บัญญัติคือชื่อที่สมมติกันขึ้นเพื่อเรียกหน่วยรวมที่เกิดจากการรวมตัวกันขององค์ประกอบย่อย
ๆ เช่น นาคเสน รถ สัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา เป็นต้น ส่วนความจริงคือ องค์ประกอบย่อยต่าง
ๆ ที่มารวมตัวกันเป็นหน่วยชีวิต เช่น ขันธ์ ธาตุ อายตนะ อาการ ๓๒ เป็นต้น
บัญญัติไม่ใช่ตัวความจริง และความจริงก็ไม่ได้มีอยู่ในบัญญัติ บัญญัติไม่สามารถสะท้อนความจริงออกมาได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์
ดังนั้น เราจึงไม่สามารถค้นหาความจริงในบัญญัติได้ เช่น การศึกษาคัมภีร์
การใช้เหตุผล การอภิปรายถกเถียง เป็นต้น อย่างไรก็ตาม แม้บัญญัติจะไม่ใช่ความจริง
แต่บัญญัติก็สามารถชี้ไปหาถึงความจริงได้เช่น นิ้วมือที่ชี้ไปยังดวงจันทร์
เป็นต้น หรือแม้แต่คำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหมดที่สื่อออกมาในรูปของภาษาพูด
และที่ถูกบันทึกเป็นภาษาเขียนในรูปของคัมภีร์ ก็ถือว่าเป็นบัญญัติที่ชี้ไปหาความจริงได้ ในการสนทนาเรื่อง "ธรรมสันตติปัญหา" (ปัญหาว่าด้วยความสืบเนื่องแห่งธรรม/ขันธ์ ๕) พระเจ้ามิลินท์ถามปัญหาว่า คนที่เกิดมาในโลกนี้เขายังเป็นคนเดิมอยู่หรือว่ากลายเป็นคนอื่น ท่านพระนาคเสนได้ตอบปัญหานี้ด้วยแนวคิดความสืบเนื่องแห่งธรรม ดังนี้ พระนาคเสน : "พระคุณเจ้านาคเสน ผู้ใดเกิดขึ้น เขาจะเป็นผู้นั้น หรือจะเป็นผู้อื่น" พระเจ้ามิลินท์ : "จะเป็นผู้นั้นก็ไม่ใช่ จะเป็นผู้อื่นก็ไม่ใช่" พระนาคเสน : "ขอถวายพระพร มหาบพิตร พระองค์จะทรงสำคัญความนั้นว่าอย่างไร เปรียบเหมือนว่า พระองค์เคยเป็นเด็กอ่อนนอนแบมาแล้ว มาบัดนี้ พระองค์ผู้เคยทรงเป็นเด็กอ่อนนอนแบมาแล้วนั้นนั่นแหละ กลายเป็นผู้ใหญ่หรือไร " พระเจ้ามิลินท์ : "หามิได้ พระคุณเจ้า เด็กอ่อนนอนแบนั้นก็เป็นคนหนึ่ง ข้าพเจ้าผู้เป็นใหญ่ในบัดนี้ก็เป็นอีกคนหนึ่ง" พระนาคเสน : "เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้ผู้ที่บุตรเรียกว่ามารดาก็จักไม่มี แม้ผู้ที่บุตรเรียกว่าบิดาก็จักไม่มี แม้ผู้ที่ศิษย์เรียกว่าอาจารย์ก็จักไม่มี คนหนึ่งทำกรรมชั่วไว้ แต่อีกคนหนึ่งถูกตัดมือตัดเท้าหรือไรหนอ" พระนาคเสน : "ขอถวายพระพร ประทีปในยามต้นเป็นดวงหนึ่ง ประทีปในยามกลางก็เป็นอีกดวงหนึ่ง ประทีปในยามสุดท้ายก็เป็นอีกดวงหนึ่งหรือไร" พระเจ้ามิลินท์ : "หามิได้ พระคุณเจ้า ประทีปที่อาศัยประทีปนั้นนั่นแหละสว่างไปแล้วจนตลอดรุ่ง" พระนาคเสน : "ข้อนั้นฉันใด ความสืบต่อแห่งสภาวธรรม ก็สืบต่อกันฉันนั้นนั่นแหละ สภาวะอันหนึ่งเกิดขึ้น สภาวะอันหนึ่งดับไป เหมือนกะสืบต่อพร้อม ๆ กัน เพราะเหตุนั้น ผู้ที่เกิดขึ้นจึงได้ชื่อว่าจะเป็นผู้นั้นก็ไม่ใช่ จะเป็นผู้อื่นก็ไม่ใช่ ผู้มีวิญญาณดวงหลัง ย่อมถึงความรวมกันเข้าในผู้มีวิญญาณดวงก่อน ๆ" นอกจากนั้น ในการสนทนาเรื่อง "นามรูปเอกัตตานัตตปัญหา" พระเจ้ามิลินท์ถามว่า บุคคล(นามรูป)ที่ละจากโลกนี้ไปแล้วไปเกิด (ปฏิสนธิ)ในภพหน้าเป็นตัวตนคนเดียวกัน (เอกัตตะ/Identity) หรือเป็นตัวตนต่างกัน (นานัตตะ/plurality) แยกกันเด็ดขาด และพระนาคเสนได้ตอบปัญหานี้ด้วยแนวคิดความสืบเนื่องแห่งธรรมหรือขันธ์ ๕ (ธัมมสันตติ) ดังต่อไปนี้ พระเจ้ามิลินท์ : "พระคุณเจ้านาคเสน ใครปฏิสนธิ" พระนาคเสน : "ขอถวายพระพร มหาบพิตร นามรูปแลปฏิสนธิ" พระเจ้ามิลินท์ : "นามรูปนี้นี่แหละหรือ ปฏิสนธิ" พระนาคเสน : "ขอถวายพระพร หาใช่นามรูปนี้นี่แหละปฏิสนธิไม่ บุคคลย่อมทำกรรมดีบ้าง ชั่วบ้าง ด้วยนามรูปนี้ นามรูปอื่นจึงปฏิสนธิเพราะกรรมนั้น" พระเจ้ามิลินท์ : "พระคุณเจ้า หากว่านามรูปนี้นี่แหละมิได้ปฏิสนธิไซร้ บุคคลผู้นั้นก็จักเป็นผู้พ้นจากกรรมชั่วทั้งหลายได้ มิใช่หรือ" พระนาคเสน : "ถ้าหากนามรูปไม่อาจปฏิสนธิได้ไซร้ เขาก็พึงเป็นผู้พ้นจากกรรมชั่วทั้งหลาย ขอถวายพระพร แต่เพราะเหตุที่นามรูปย่อมปฏิสนธิ เพราะเหตุนั้น เขาก็ไม่อาจเป็นผู้พ้นจากกรรมชั่วทั้งหลายได้ นามรูปก่อนตายก็เป็นส่วนหนึ่ง นามรูปในคราวปฏิสนธิก็เป็นส่วนหนึ่งก็จริงอยู่ แต่ทว่านามรูปในคราวปฏิสนธินั้น ก็บังเกิดจากนามรูปก่อนตายนั่นแหละ เพราะฉะนั้น จึงไม่อาจเป็นผู้พ้นจากกรรมชั่วทั้งหลายได้" พระเจ้ามิลินท์ : "ขอท่านจงกระทำอุปมา" พระนาคเสน : "ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนว่าบุรุษคนหนึ่งขโมยผลมะม่วงของบุรุษคนหนึ่งไป บุรุษผู้เป็นเจ้าของมะม่วงจึงจับเอาบุรุษคนนั้นไปเฝ้าพระราชา กราบทูลว่า 'ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงเป็นเทพ นายคนนี้ขโมยผลมะม่วงของข้าพระองค์ พระเจ้าข้า' บุรุษผู้ขโมยมะม่วงนั้นจึงกราบทูลว่า 'ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงเป็นเทพ ข้าพระองค์มิได้ขโมยมะม่วงของนายคนนี้ ผลมะม่วงที่นายคนนี้เพาะปลูก เป็นผลมะม่วงอื่นผลมะม่วงที่ข้าพระองค์เก็บมาเป็นผลมะม่วงอื่นอีกต่างหาก ข้าพระองค์ไม่น่าเป็นผู้ต้องรับโทษ พระเจ้าข้า' ดังนี้ ขอถวายพระพร บุรุษผู้ขโมยผลมะม่วงนั้น พึงเป็นผู้ต้องรับโทษหรือไรหรือหนอ" พระเจ้ามิลินท์ : "บุรุษผู้ขโมยมะม่วงนั้น อาจกล่าวอย่างนี้ได้ก็จริงอยู่ พระคุณเจ้า บุรุษผู้นั้นบอกปัดผลมะม่วงผลก่อนมิได้หรอก พึงเป็นผู้ต้องรับโทษเพราะมะม่วงผลหลัง" พระนาคเสน : "ขอถวายพระพร อุปมาฉันใด อุปมัยก็ฉันนั้นเหมือนกัน บุคคลย่อมทำกรรมดีบ้าง ชั่วบ้าง ด้วยนามรูปนี้ นามรูปอื่นจึงปฏิสนธิเพราะกรรมนั้น เพราะฉะนั้น จึงไม่อาจเป็นผู้พ้นจากกรรมชั่วทั้งหลายได้" กล่าวโดยสรุป แนวคิดเรื่องกรรมกับอนัตตาในทัศนะของพระนาคเสน ไม่ได้มีปัญหาในการอธิบายเรื่องความรับผิดชอบทางศีลธรรมแต่อย่างใด เพราะคำว่าอนัตตาไม่ได้หมายความว่าไม่มีอะไรเลย หรือไม่มีผู้รับชอบทางศีลธรรมอย่างที่พระเจ้ามิลินท์เข้าใจ อนัตตาเป็นเพียงแนวคิดที่ปฏิเสธอัตตาหรือตัวตนที่แท้ถาวร ในฐานะผู้ทำกรรมและผู้รับผลกรรมเท่านั้นเอง แนวคิดที่พระนาคเสนนำมาสนับสนุนข้อเสนอของท่านคือ แนวคิดแบบ "วิภัชชวาที" ซึ่งแนวคิดสำคัญของพระพุทธศาสนา คือ การแยกแยะขันธ์ ๕ ออกเป็นองค์ประกอบย่อย ๆ เพื่อให้เห็นความไม่มีตัวตนในขันธ์ ๕ นั้น อัตตาเป็นเพียงชื่อที่เราสมมติขึ้นเรียกการรวมตัวกันของขันธ์ ๕ เท่านั้น และอีกแนวคิดหนึ่งที่ท่านพยายามยกขึ้นมาเป็นฐานในการตอบปัญหาเรื่องอนัตตากับผู้ทำกรรมและผู้รับผลกรรม คือ แนวคิดแบบ "ธัมมสันตติ" คือแนวคิดเรื่องความสืบเนื่องของนามรูปหรือขันธ์ ๕ แนวคิดนี้หมายความว่า บุคคลทั้งในฐานะผู้ทำกรรมและผู้รับผลกรรม ล้วนแต่อยู่ในรูปของกระแสแห่งเหตุปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ในกระแสธารแห่งความเปลี่ยนแปลงนี้ ไม่มีอัตตาที่ยืนโรงอยู่อย่างเที่ยงแท้เป็นผู้ทำกรรมและผู้รับผลกรรม กล่าวคือ ทั้งผู้ทำกรรมและผู้รับผลกรรม ล้วนแต่ทำและรับในรูปของกระแสสืบเนื่องทั้งสิ้น ถ้าหากประเมินการสนทนากัน ระหว่างพระเจ้ามิลินท์กับพระนาคเสนเฉพาะ ในส่วนของนามปัญหา ผู้เขียนมองว่า พระเจ้ามิลินท์ได้เสนอประเด็นปัญหาหลายเรื่องได้อย่างน่าสนใจ เช่น ปัญหาเรื่องบัญญัติกับความจริงที่อยู่เบื้องหลังบัญญัติ ปัญหาเรื่องอนัตตากับการทำกรรมและการรับผลของกรรม ปัญหา เรื่องอนัตตาแตกต่างอย่างไรกับอุจเฉททิฏฐิ รวมทั้งการเสนอวิธีพิสูจน์ความมีอยู่อัตตา ในส่วนของพระนาคเสนก็เช่นเดียวกัน ดูเหมือนว่าการตอบปัญหาของท่านทั้งหมดจะมุ่งตอบเฉพาะประเด็นปัญหา เรื่องบัญญัติ (สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา) กับความจริงที่อยู่เบื้องหลังบัญญัติ (อนัตตา/ขันธ์ ๕) แม้การอุปมาเปรียบเทียบบัญญัติกับคำว่า "รถ" และเปรียบเทียบความจริงกับส่วนประกอบต่าง ๆ ของรถ ก็เป็นส่วนของความพยายามที่จะอธิบายความหมายของบัญญัติและความจริงเท่านั้น ส่วนประเด็นปัญหาที่เกิดจากการเสนอคำอธิบายแบบนี้ เช่น เมื่อเสนอว่าไม่มีอัตตาแล้วจะอธิบายประเด็นเรื่องผู้ทำและผู้รับผลของกรรมอย่างไร ดูเหมือนว่าท่านพระนาคเสนจะยังไม่ได้ตอบปัญหานี้ อย่างไรก็ตาม การที่พระนาคเสนไม่ได้ตอบปัญหาทุกประเด็นไว้ในปัญหาข้อแรก อาจจะเป็นเพราะท่านมองว่าเป็นประเด็นที่ไม่เกี่ยวกับการสนทนาครั้งนี้ จึงได้ยกยอดไปตอบในการสนทนาครั้งต่อ ๆ ไป ดังจะเห็นได้ในการสนทนาเรื่องธัมมสันตติ และเรื่องการถือปฏิสนธิของนามรูป เป็นต้น ท่านได้ใช้แนวคิดเรื่อง "ธรรมสันตติ" สำหรับตอบปัญหานี้ แนวคิดนี้มองว่า แม้ในขันธ์ ๕ หรือนามรูปของเราจะไม่มีอัตตา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มีอะไรเป็นผู้ทำกรรมและผู้รับผิดชอบต่อผลกรรม นามรูปของเราที่อยู่ในรูปกระแสความสืบเนื่องแห่งเหตุปัจจัยนี้เอง เป็นผู้ทำกรรมและเป็นผู้รับผลกรรม เราในฐานะผู้ทำกรรมในวันนี้กับเราในฐานะผู้รับผลกรรมในวันข้างหน้า จะบอกว่าเป็นคนเดียวกันก็ไม่ใช่ จะบอกว่าเป็นคนอื่นก็ไม่ใช่ ดังนั้น จุดยืนในการตอบปัญหาของพระนาคเสนอคือ "อนัตตวาท" ในฐานะเป็นแนวคิดทางสายกลางระหว่างทัศนะสุดโต่ง ๒ ด้าน คือ "เอกัตตวาท" (ตัวตนเดียวกัน) กับ "นานัตตวาท" (ตัวตนต่างกัน) โดยใช้หลักความสืบเนื่องแห่งเหตุปัจจัย (ธัมมสันตติ) เป็นฐานในการตอบปัญหาเรื่องผู้ทำกรรมและผู้รับผลกรรม เชิงอรรถ ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๙๐/๑๐๒. อภิ.กถา. (บาลี) ๓๗/ แนวคิดเรื่องบุคคลของชาวพุทธกลุ่มปุคคลวาท ต่างจากแนวคิดของพราหมณ์ฮินดูตรงที่ปุคคลวาทถือว่า บุคคลมีความเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ไม่เที่ยงแท้ถาวรเหมือนอาตมันของพราหมณ์ฮินดู บุคคลไม่ใช่อย่างเดียวกับขันธ์ ๕ และไม่ได้เป็นอื่นจากขันธ์ ๕ ดู Nalinaksha Dutt, Buddhist Sects in India (Delhi: Montilal Banarasidass, ๑๙๘๙) p. ๑๘๕. อภิ. กถา. (บาลี) ๓๗/๑๘๖/๑๑๒-๑๑๖. คำว่า "ภาวะ" ในที่นี้ ในทัศนะของนิกายสัพพัตถิกวาท หมายถึง ภาวะที่มีอยู่/เป็นอยู่ด้วยตัวของมันเอง (สวภาวะ/ Self-nature, Own-nature) ดำรงอยู่ตลอดกาลทั้ง ๓ ไม่เปลี่ยนแปลง ปราชญ์ชาวมหายานชื่อนาคารชุน ได้เสนอแนวคิดที่ว่า "สิ่งทั้งปวงศูนย์" (สรวัม ศูนยัม) ก็เพื่อโต้แย้งแนวคิดของนิกายสัพพัตถิกวาทที่ว่า "สิ่งทั้งปวงมีอยู่" (สัพพัง อัตถิ) นี้เอง มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, มิลินฺทปญฺหปกรณํ (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์วิญญาณ, ๒๕๔๐), หน้า ๒๕. ปุ้ย แสงฉาย, มิลินทปัญหา ฉบับพร้อมด้วยอรรถกถา ฎีกา (กรุงเทพมหานคร : สำนักงานลูก ส. ธรรมภักดี , ๒๕๒๘), หน้า ๓๒. เรื่องเดียวกัน,
หน้า ๒๙. ปุ้ย แสงฉาย, มิลินทปัญหา ฉบับพร้อมด้วยอรรถกถา ฎีกา, หน้า ๓๓. เรื่องเดียวกัน, หน้า ๓๓. ที.ส. (ไทย) ๙/๑๗๐/๕๖-๕๗ ปุ้ย แสงฉาย, มิลินทปัญหา ฉบับพร้อมด้วยอรรถกถา ฎีกา, หน้า ๑๐ จุดยืนแบบเลือกข้างระหว่างฝ่ายที่มีกับไม่มี เป็นกับไม่ ฯลฯ ดูเหมือนว่าจะเป็นแนวคิดที่ได้รับการยอมรับตั้งแต่สมัยโบราณ จนถึงปัจจุบันทั้งในปรัชญาตะวันตกและตะวันออก เช่น หลักตรรกวิทยาแบบนิรมัชฌิมะ (Principle of Excluded Middle) ของตะวันตก หรือแนวคิดแบบอัตถิกทิฏฐิ กับนัตถิกทิฏฐิ ของชาวอินเดียสมัยโบราณ ปุ้ย แสงฉาย, มิลินทปัญหา ฉบับพร้อมด้วยอรรถกถา ฎีกา, หน้า ๓๔. อ้างใน นายประสิทธิ์ ฤกษ์พิศุทธิ์, "การตีความความคิดเกี่ยวกับระบบจิต-กายของเดส์การ์ตส์". วิทยานิพนธ์ปริญญาอักษรศาสตรมหาบัณฑิต (บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๒๗), หน้า ๗. ปุ้ย แสงฉาย, มิลินทปัญหา ฉบับพร้อมด้วยอรรถกถา ฎีกา, หน้า ๓๔. เรื่องเดียวกัน, หน้า ๓๕. เรื่องเดียวกัน, หน้า ๓๕. เรื่องเดียวกัน, หน้า ๓๖. เรื่องเดียวกัน, หน้า ๓๕-๓๗ . คำกล่าวของนางวิชิราภิกษุณี ดู สํ.ส. (ไทย) ๑๕/๑๗๑/๒๒๘. มูลนิธิปราณี
สำเริงราชย์, มิลินทปัญหา เล่ม ๑ (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ชวนพิมพ์, ๒๕๓๘)
, หน้า ๑๑๗-๑๑๘.
๑. ภาษาไทย *************************
|