![]() |
พระมหาสมจินต์
สมมาปญโญ
นิยามความและประเภท "นิพพาน" ประกอบด้วยศัพท์ นิ (ออกไป, หมดไป, ไม่มี) + วานะ (พัดไป, ร้อยรัด) รวมเข้าด้วยกันแปลว่า ไม่มีการพัดไป ไม่มีสิ่งร้อยร้อย คำว่า "วานะ" เป็นชื่อเรียกกิเลสตัณหา โดยสรุป นิพพานก็คือไม่มีกิเลสตัณหาที่จะร้อยรัดพัดกระพือให้กระวนกระวายใจ คัมภีร์พระไตรปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตกะกล่าวถึงนิพพาน ๒ ประเภท คือ (๑) สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ นิพพานธาตุยังมีเชื้อเหลือ หรือนิพพานที่ยังเกี่ยวข้องกับเบญจขันธ์ ในวงการนักธรรม แปลว่า "ดับกิเลสยังมีเบญจขันธ์เหลือ" (๒) อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ นิพพานธาตุที่ไม่มีเชื้อเหลือ หรือนิพพานที่ไม่เกี่ยวข้องกับเบญจขันธ์ ในวงการนักธรรม แปลว่า "ดับกิเลสไม่มีเบญจขันธ์เหลือ" นิพพานในฐานะต่าง
ๆ
(๒) เป็นบรมสุข
(๓) เป็นกิริยาที่หมายถึงการตายของคนที่หมดกิเลส
(๔) เป็นธรรมารมณ์ นิพพานกับปฏิจจสมุปบาท ถามว่า "นิพพานกับปฏิจจสมุปบาทเกี่ยวข้องกันอย่างไร ?" ความจริง นิพพานกับปฏิจจสมุปบาทเป็นชื่อเรียก "ธรรม" ข้อเดียวกันนั่นเอง ปฏิจจสมุปบาทมี ๒ สาย คือ (๑) สายอนุโลม หรือสายสมุทัย หมายถึงสายเกิด เช่น เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย ทำให้เกิดสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัยทำให้เกิดวิญญาณ เพราะภพเป็นปัจจัยทำให้เกิดชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัยทำให้เกิดชรามรณะ เพราะชรามรณะเป็นปัจจัยทำให้เกิดทุกข์ นี่คือสายอนุโลม หรือสมุทัย ซึ่งก็คืออริยสัจข้อ ๒ (๒) สายปฏิโลม หรือสายนิโรธ หมายถึงสายดับ เช่น เพราะอวิชชาดับทำให้สังขารดับ เพราะสังขารดับทำให้วิญญาณดับ เพราะภพดับทำให้ชาติดับ เพราะชาติดับทำให้ชรามรณะดับ เพราะชรามรณะดับทำให้ทุกข์เป็นต้นดับ นี่คือสายปฏิโลม หรือสายนิโรธ ซึ่งก็คืออริยสัจ ข้อ ๓ และ "นิโรธ" ก็เป็นคำที่ใช้เรียก "นิพพาน" "ปฏิจจสมุปบาท" เป็นชื่อเรียกกระบวนเกิด-ดับของโลกและชีวิตทั้งหลาย เป็นชื่อเรียกกระแสของปรากฏการณ์ทั้งระบบ ถ้าเป็นสายเกิดหรือสายสมุทัย เรียกว่า "สังสารวัฏ" คือการเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จบสิ้น เรียกในภาษาธรรมเต็ม ๆ ว่า "อนมตัคคสังสาระ" แปลว่า การเวียนว่ายที่หาเบื้องต้นและเบื้องปลายไม่พบ ถ้าเป็นสายดับหรือสายนิโรธ เรียกว่า "นิพพาน" นิพพานเป็นอนัตตา
ในคัมภีร์พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรคบอกว่า "สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา" และในคัมภีร์พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาตบอกว่า "สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา" ซึ่ง "ธรรม" ในที่นี้พระอรรถกถาจารย์อธิบายต่อว่า "หมายรวมถึงนิพพานด้วย" นอกจากนี้ ยังมีข้อความในคัมภีร์พระไตรปิฎกอีกหลายแห่งทั้งที่ระบุโดยตรงและโดยอ้อมที่มีนัยบอกว่า "นิพพานเป็นอนัตตา" คำว่า "อนัตตา" มีความหมายระดับปรมัตถ์ มีนัยที่ต้องไขความต่ออีก โดยเฉพาะในคัมภีร์ชั้นหลังก็จะบอกว่า "ที่ชื่อว่าเป็นอนัตตา เพราะเกิดขึ้นจากองค์ประกอบต่าง ๆ มาประชุมกัน ไม่มีตัวตนที่เป็นแก่นเป็นแกนอยู่ ไม่มีตัวตนที่คงที่ ไม่มีผู้สร้าง ไม่มีผู้เสวย ไม่มีอำนาจในตัวเอง บังคับให้เป็นไปในอำนาจไม่ได้ แย้งต่ออัตตา" นิพพานกับขันธ์
๕ "นิพพาน" ไม่ได้อยู่แยกจากขันธ์ ๕ สมมติว่าขันธ์ ๕ คือเหรียญ ทุกข์กับนิพพานก็คือด้านทั้ง ๒ ของเหรียญนั้น ทุกข์อาจเป็นด้านหัว(ด้านที่ถูกปัจจัยปรุงแต่ง) นิพพานอาจเป็นด้านก้อย(ด้านที่ไม่ถูกปัจจัยปรุงแต่ง) จึงมีคำกล่าวในหลักมหายานดั้งเดิมอยู่เสมอว่า "นิพพานกับสังสารวัฏเป็นอันเดียวกัน" เพื่อให้ได้คำตอบโดยชัดเจนต่อปัญหาว่า นิพพานเป็นอนัตตาอย่างไร ? ขันธ์ ๕ ตกอยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์ แต่แตกต่างกันนิดหนึ่งระหว่างด้านหัว (ด้านที่ถูกปัจจัยปรุงแต่ง) กับด้านก้อย(ด้านที่ไม่ถูกต้องปัจจัยปรุงแต่ง) คือ ด้านหัวตกอยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์ทั้งระบบเลย กล่าวคือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ในขณะที่ด้านก้อยตกอยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์เฉพาะข้อสุดท้าย คือ เป็นอนัตตา เพราะเหตุไรจึงถกเถียงกันว่า
"นิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตา" ? ประเด็นที่น่าพิจารณาอยู่ที่คำสุดท้ายของคาถานี้ คือ "อิติ นิจฺฉยา" ซึ่งแปลว่า วินิจฉัยมีดังนี้ ถามว่า "ทำไมต้องมีคำนี้ห้อยท้าย ทำไมไม่กล่าวแล้วจบเลย ?" ปัญหาเกี่ยวกับนิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตานี้ เข้าใจว่าสังคมเถียงกันจนเหนื่อยแล้ว พระพุทธศาสนาจึงขอสรุปวินิจฉัยอย่างนี้เถอะว่า "นิพพานเป็นอนัตตา" เถียงไปก็ไม่มีจุดจบ ถามว่า "ทำไม่จึงเกิดข้อถกเถียงกันในปัจจุบันว่า นิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตา ?" มีสาเหตุมากมายที่ทำให้เกิดข้อถกเถียงกันในเรื่องนี้ สาเหตุประการแรกน่าจะเป็นเพราะข้อความในคัมภีร์พระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา อนุฎีกา หรือคัมภีร์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในยุคต่อมา ทั้งที่เป็นของเถรวาทและมหายาน กล่าวเฉพาะในคัมภีร์เถรวาท ข้อความบางตอนก็มีนัยสื่อว่า "นิพพานเป็นอัตตา เป็นสถานที่ เป็นดินแดนบริสุทธิ์" เช่น ข้อความในคัมภีร์อังคุตตรนิกาย ติกนิบาตมีว่า "สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา" กล่าวให้ง่ายขึ้นก็คือว่า "สิ่งที่ไม่เที่ยงย่อมเป็นทุกข์ สิ่งที่เป็นทุกข์ สิ่งทีเป็นทุกข์ย่อมเป็นอนัตตา" นักวิเคราะห์บางคนอาจเห็นว่า ถ้าสมมติว่ามีบางสิ่งที่ "เที่ยงและเป็นสุข" ถามว่า "สิ่งนั้นควรจะเป็นอนัตตาหรืออัตตา ?" ข้อความในคัมภีร์พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทานมีว่า "อายตนะมีอยู่ (แต่)ในอายตนะนั้นไม่มีปฐวีธาตุ ไม่มีโลกนี้ ไม่มีโลกหน้า ไม่มีดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ทั้งสองนั้น เราไม่เรียกว่า อายตนะนั้นมีการมา มีการไป มีการตั้งอยู่ มีการจุติ มีการอุบัติ " นักวิเคราะห์บางคนอาจเห็นว่า คำว่า "มีอยู่" นั้นอาจมีนัยหมายถึงการมีอยู่ใน ๒ ลักษณะ คือ เป็นสถานที่ มีตำแหน่งและเป็นภาวะหรือเป็นสภาวะเชิงนามธรรม แต่ข้อความในคัมภีร์นี้ไม่ได้บอกเพียงว่า "มีอยู่" แต่ยังบอกรายละเอียดต่อไปอีกมากมาย เพราะฉะนั้น คำว่า "มีอยู่" ในที่นี้ น่าจะมีนัยหมายถึงสถานที้ ตำแหน่ง หรือดินแดน ข้อความในคัมภีร์พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ กล่าวถึงธาตุและองค์ประกอบของสัตว์ที่เกิดในธาตุ ๔ คือ กามธาตุ รูปธาตุ อรูปธาตุ และอปริยาปันนธาตุ ประเด็น "อปริยาปันนธาตุ" นั้น คงหมายถึง "โลกุตตรธาตุ" ซึ่งก็คือนิพพานธาตุ คัมภีร์กล่าวถึงองค์ประกอบของมนุษย์ในอปริยาปันนธาตุ เช่นบอกว่า "ประกอบด้วยขันธ์ ๔ คือ เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ, มีอายตนะ ๒ คือ ใจกับธรรมารมณ์, มีธาตุ ๒ คือ มโนวิญญาณธาตุกับธัมมธาตุ " นักวิเคราะห์บางคนอาจเห็นว่า "นี่แหละคือดินแดนที่คนเป็นอรหันต์ไปเกิดหลังจากตายในชาตินี้ เป็นแดนนิพพาน เป็นแดนอมตะ" สาเหตุประการที่สอง เป็นเรื่องโลกทัศน์และจริตของแต่ละคน เช่น คนที่ชอบเรื่องที่เป็นรูปธรรม จับต้องสัมผัสได้ มีสัทธาจริต ก็จะบอกว่า "นิพพานเป็นอัตตา" และเชื่อว่านิพพานเป็นอัตตา ส่วนคนที่ชอบเรื่องที่เป็นนามธรรม วิเคราะห์วิจารณ์ คาดเดา มีพุทธิจริตก็จะบอกว่า "นิพพานเป็นอนัตตา" นอกจากสาเหตุ ๒ ประการนี้แล้ว ข้อมูลในคัมภีร์ชั้นหลังทั้งของเถรวาทและมหายานก็มีนัยสื่อว่านิพพานเป็นอัตตา ผสมผสานเข้ากับข้อมูลในคัมภีร์ของลัทธิเทวนิยมอื่น ๆ ทำให้มีผู้แสดงทรรศนะว่า "นิพพานเป็นอัตตา" แม้ในกลุ่มชาวพุทธเองก็แสดงและเชื่ออย่างนั้น |